โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในวันที่ 25 ธันวาคม 2551 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้ลงความเห็นจากการสอบสวนว่า อิหม่ามยาปะ กาเซง อายุ 56 ปี ได้เสียชีวิตจากการถูกทรมานอย่างทารุณในระหว่างวันที่ 20-21 มีนาคม 2551 ที่ค่ายภาคสนามของหน่วยกำลังที่ 39 ในอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ร่องรอยการทรมานทุบตีปรากฏอย่างเด่นชัดบนร่างกายของอิหม่าม
ต่อมาอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ครม. ของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ลงมติให้ต่ออายุการใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้ต่อไปอีก 3 เดือน ทั้งๆ ที่การให้อำนาจอย่างไม่มีการตรวจสอบแก่เจ้าหน้าที่ใน พ.ร.ก.ฉบับนั้น ทำให้การทรมานผู้ต้องหาซึ่งถูกกองทัพ (หรือกองกำลังผสมทหาร-ตำรวจ) จับกุมเพื่อรีดข่าว หรือบังคับให้สารภาพได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วไปในสามจังหวัดและสามอำเภอของสงขลา
ก่อนจะพูดอะไรอื่นต่อไป เมื่อคำนึงถึงความโดดเดี่ยวในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ของท่านผู้พิพากษาแห่งศาลจังหวัดนราธิวาส ผมขอน้อมคารวะท่านอย่างสูง
อันที่จริงในช่วงเวลาที่จะตัดสินใจต่ออายุ พ.ร.ก.ดังกล่าวนี้เอง การละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ตอนล่างของไทยได้กลายลักษณะเป็น "นานาชาติ" ไปแล้ว
องค์กรนิรโทษกรรมสากลได้รายงานการวิจัยในพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้ โดยการสัมภาษณ์บุคคลที่ถูกจับกุมคุมขัง 34 คน โดยมี 13 คนที่ถูกทรมานโดยตรง นอกจากนี้ ยังได้สัมภาษณ์ญาติพี่น้องของเหยื่อ และสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งในพื้นที่และในกรุงเทพฯอีกด้วย รายงานวิจัยระบุอย่างชัดเจนว่า การทรมานผู้ถูกจับกุมคุมขังโดยกองทัพกระทำอย่างกว้างขวางทั่วไปในสี่จังหวัดภาคใต้ ทั้งในที่คุมขังซึ่งไม่เป็นทางการ (อันเป็นการคุมขังที่ผิดกฎหมาย) และที่คุมขังซึ่งเป็นทางการ จนกระทั่งองค์กรนิรโทษสากลถือว่ากองทัพไทยใช้การทรมาน "อย่างเป็นระบบ"
"อย่างเป็นระบบ" ในทางกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่ามีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากระดับบนให้กระทำ หรือผู้บังคับบัญชาระดับบนให้ความเห็นชอบต่อการทรมาน เพราะจากประสบการณ์ขององค์กรพบว่า ในทุกประเทศที่ใช้การทรมาน จะไม่มีกฎเกณฑ์เป็นลายลักษณ์อักษรหรือคำอนุมัติโดยทางการเลย ตรงกันข้ามกลับมีแต่คำสั่งห้ามปรามและถือเป็นโทษทั้งสิ้น แต่ในทางปฏิบัติก็ทำกันทั่วไป ฉะนั้น การใช้การทรมาน "อย่างเป็นระบบ" ตามนิยามของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (ซึ่งไทยไม่ยอมร่วมเป็นภาคี และไม่มีกฎหมายไทยที่ถือว่าการทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐเป็นโทษโดยตรง) จึงมีความหมายว่า ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในพื้นที่กว้างขวาง และดำรงอยู่ได้เพราะกฎหมายหรือนโยบายของรัฐเอื้ออำนวย หรือถึงไม่เอื้ออำนวยก็ไม่มีกลไกระแวดระวัง
ตรงกับกรณีของ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ ของไทย ซึ่ง ครม.ของคุณอภิสิทธิ์ต่ออายุการใช้ให้ และตรงกับแบบปฏิบัติของกองทัพและรัฐบาลไทยพอดี
ท่าทีของ ครม.อภิสิทธิ์เป็นอย่างไรต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเช่นนี้ ผมคิดว่าคำตอบอย่างเป็นธรรมก็คือ "ประนีประนอม" หมายความว่าไม่อยากให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรืออย่างน้อยก็ไม่อยากให้เป็นข่าวว่ารัฐบาลนิ่งดูดาย แต่ก็ไม่มีความกล้าหาญพอจะสอบสวนลงโทษอย่างจริงจังเพื่อส่งสัญญาณให้กองทัพรู้ว่า รัฐบาลจะไม่นิ่งเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นนี้
ในทางการเมือง นับเป็นท่าทีที่ผิวหนังไม่ถลอก ทหารรับได้และผู้เลือกตั้งพอรับได้ จึงเป็นท่าทีอันชาญฉลาด (clever) ซึ่งไม่มีใครทำได้นอกจากพรรคประชาธิปัตย์
คุณอภิสิทธิ์ได้ตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรี ประกอบด้วยรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งด้านความมั่นคงและการพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาของภาคใต้ตอนล่างโดยเฉพาะขึ้น เพราะท่านนายกฯเชื่อว่าต้องสร้างเอกภาพในการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา ไม่พึ่งเฉพาะกองทัพหรือการปราบปรามเป็นหลักเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ในวันที่ 17 ม.ค. 2552 คุณอภิสิทธิ์ได้นำคณะกรรมการรัฐมนตรีดังกล่าวลงพื้นที่ เพื่อให้มีความคุ้นเคยกับปัญหามากขึ้น พร้อมกันไปกับการให้นโยบายแก่หน่วยงาน
สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์เน้นย้ำก็คือ เอกภาพในการดำเนินงาน ซึ่งเท่ากับปรับเปลี่ยนนโยบาย คือจะประสานการพัฒนาในทุกด้านไปกับมาตรการทางทหาร แต่จะพัฒนาอะไรยังไม่ชัดเจนนัก คุณอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเพียงว่า "นโยบายรัฐบาลมีทั้งโครงการขนาดใหญ่และนโยบายที่จะลงไปในชุมชน... ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ ที่มีทั้งภาคอุตสาหกรรมและอื่นๆ เราจะใช้วัฒนธรรมและความหลากหลายมาพัฒนาเศรษฐกิจ"
การพัฒนากับมาตรการทางทหารอาจประสานไปกันได้ก็จริง แต่การพัฒนาก็สามารถประสานไปกันได้กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางด้วย ข้อนี้มีประจักษ์พยานทั่วไปทั้งประเทศ รวมทั้งในพื้นที่สี่จังหวัดด้วย นโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้เตรียมการไว้สำหรับผลกระทบด้านนี้อย่างไร ไม่ชัดแจ้ง
ในส่วนการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่เป็นข่าวไปทั่วโลกแล้วนั้น คำพูดของคุณอภิสิทธิ์ดูเหมือนจะส่อว่า รัฐบาลวิตกว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าว จะกลายเป็น "เงื่อนไขในการที่ฝ่ายตรงข้ามจะนำไปอ้าง" มาก คุณอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้เป็นนโยบายของรัฐ และกำชับมิให้หน่วยงานในพื้นที่ปฏิบัติงานโดยละเมิดสิทธิมนุษยชน
เป็นอันว่ารัฐบาลไม่เกี่ยว แม้จะมีข้อวินิจฉัยว่าการละเมิดกระทำกัน "อย่างเป็นระบบ" ก็ตาม คุณอภิสิทธิ์เพียงแต่พยายามแสดงให้เห็นว่า ตัวคุณอภิสิทธิ์เองไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีที่เกิดขึ้นนี้ "ผมติดตามเรื่องนี้ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งผมได้ส่งคนไปคุยกับองค์กรดังกล่าวแล้ว เวลานี้ก็ได้รายชื่อบุคคลที่จะพบแล้ว ตั้งใจว่าจะพบเร็วๆ นี้"
องค์กรนิรโทษกรรมสากลกล่าวอย่างชัดแจ้งในรายงานการวิจัยว่า พยายามปิดบังพยาน นอกจากไม่บอกชื่อแล้ว ยังไม่บอกชื่อตำบลหมู่บ้านหรือแม้แต่ค่ายทหารที่ถูกนำไปทรมานด้วย เพราะไม่แน่ใจในความปลอดภัยของคนเหล่านั้น โดยไม่ได้มีท่าทีแข็งขันเอาจริงเอาจังกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เช่นไม่ได้ตั้งกรรมการที่มีอำนาจขึ้นสอบสวนกองทัพ และพร้อมจะลงโทษทหาร (และตำรวจ) ที่ทำผิด องค์กรนิรโทษกรรมสากลจะวางใจในความปลอดภัยของเหยื่อเหล่านี้ได้ จนยอมเปิดชื่อ เพราะนายกรัฐมนตรีขอคุยด้วยเท่านั้นละหรือ
ในที่สุดคดีนี้ก็จะเงียบหายไปเหมือนคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ในขณะที่รัฐบาลลอยนวล เพราะไม่ได้นิ่งนอนใจ ผู้บัญชาการกองทัพและตำรวจลอยนวล เพราะไม่ได้สั่งให้ใครไปทรมานใคร และผู้ลงมือทรมานก็ลอยนวล เพราะไม่มีใครอยากสาวไปถึงต้นตอ
ที่สำคัญ ผู้ปฏิบัติงานในภาคใต้ได้รับสัญญาณผิดๆ (หรือไม่ผิด?) ว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องทำอย่างที่จะลอยนวลได้ทุกฝ่ายต่างหาก เราจะสามารถยุติหรือบรรเทาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ลงได้ด้วยวิธีการเช่นนี้หรือ
ในส่วนช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งองค์กรนิรโทษกรรมสากลชี้ไว้ เช่นอำนาจที่ไร้การตรวจสอบ ทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ซึ่ง พ.ร.ก.ปฏิบัติราชการฯให้ไว้ คุณอภิสิทธิ์กล่าวแต่ว่า "ตรงไหนอาจจะต้องที่มีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงต่อไป" และการต่ออายุการใช้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ในพื้นที่ครั้งหน้า จะต้องให้รายละเอียดความจำเป็นให้ชัดเจนกว่าที่ผ่านๆ มา
ดูจากปฏิกิริยาคุณอภิสิทธิ์และรัฐบาลของท่าน การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องร้ายแรงในตัวมันเอง เพียงแต่ว่าอาจมีผลกระทบทางการเมืองทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเท่านั้น ปัญหาจึงอยู่ที่จะทำให้ผลกระทบนั้นหมดไป หรือเกิดขึ้นแต่น้อยได้อย่างไร และหากจะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกข้างหน้า ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังต่อผลกระทบ
เมื่อรัฐบาลไม่สู้จะสนใจนัก ถามว่าสังคมไทยสนใจต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากน้อยเพียงไร คำตอบอยู่ที่เหตุการณ์ซึ่งเกิดในช่วงเวลาใกล้ๆ กันนี้ มีรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ของอินเดียว่า ชาวโรฮิงญาหลบภัยจากพม่าโดยลอยเรือเข้ามาสู่ชายฝั่งตะวันตกของประเทศไทย หนังสือพิมพ์อินเดียรายงานข่าวว่า กองทัพเรือไทยสกัดไว้ได้ และผลักดันชาวโรฮิงญาเหล่านี้ออกไป โดยหลังเลี้ยงอาหารแล้ว ก็ให้เสบียงและน้ำไปแต่เพียงเล็กน้อย แล้วลากเรือของพวกเขาออกไปสู่ทะเลหลวง กว่ากองทัพเรืออินเดียจะพบเรือของพวกเขา เกือบครึ่งหนึ่งของชาวโรฮิงญาก็เสียชีวิตแล้ว บ้างก็กระโดดทะเลเพื่อไปตายเอาดาบหน้า
ไม่ว่ารายงานข่าวนี้จะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่จำนวนไม่น้อยของจดหมายประชาชนที่มีไปยังรัฐบาลก็คือ กองทัพเรือทำถูกต้องตามหน้าที่แล้ว เพราะประเทศไทยไม่ต้องการรับภาระการอพยพหนีภัยของประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน
โดยสรุปก็คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องร้ายแรงในตัวมันเอง ทั้งแก่รัฐบาลไทยและสังคมไทย
ฉะนั้น ความหวังจึงต้องฝากไว้แก่นักสิทธิมนุษยชนไทยทั้งหลาย ทั้งที่รวมตัวเป็นองค์กรและเป็นเอกชนอิสระ คราวนี้การละเมิดกระทำโดย "รัฐ" ไม่ใช่โดยองค์กรเอกชนซึ่งท่านเหล่านี้เคยอ้างว่ามีอันตรายน้อยกว่ารัฐ จึงไม่สนใจพูดถึง (ในเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2551) ท่านสามารถยุติหรือขัดขวางการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ ซึ่งกระทำโดยรัฐภายใต้พรรคการเมืองที่ท่านยอมรับมากกว่าได้หรือไม่?
หน้า 6
ที่มา : มติชนรายวัน,วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552