Tuesday, May 12, 2009

ประเทศไทยหยุดทำร้ายประชาชน



วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11384 มติชนรายวัน


ประเทศไทยหยุดทำร้ายประชาชน

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


คอมมิวนิสต์กำลังกลับมาเมืองไทยอีกแล้ว หรือพูดให้ถูกจริงๆ ก็คือคอมมิวนิสต์กำลังกลับมาสู่ปากของผู้มีอำนาจในเมืองไทยอีกแล้ว

ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่าง "คนเสื้อแดง" กับรัฐบาลผสมที่ฝ่ายทหารตั้งขึ้น ผมเข้าใจว่าการปลุกกระแสคอมมิวนิสต์เป็นยุทธวิธีหนึ่งที่กองทัพ หรือบางส่วนของกองทัพเลือกใช้ เพื่อสยบ "คนเสื้อแดง" หากสังคมโดยรวมรู้สึกว่าคอมมิวนิสต์คือภัยคุกคาม ทั้งนี้เพราะที่ผมได้ยินครั้งแรกนั้นมาจากแม่ทัพอากาศ แล้วจึงเสริมด้วยรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ

แต่จะเป็นด้วยพอหยั่งได้ว่าสังคมไม่สะดุ้งสะเทือน หรือเพราะเหตุใดไม่ทราบได้ ข่าวคอมมิวนิสต์ก็ถูกสยบลงเพราะแม่ทัพบกให้ความเห็นแก่ผู้สื่อข่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ในโลกปัจจุบันนี้เสียแล้ว ดูเหมือนใครๆ ก็คงเห็นด้วยกับท่านแม่ทัพ ข่าวเรื่องคอมมิวนิสต์จึงหายไปจากสื่อ (เพราะเชื่ออย่างนั้น หรือเพราะอ่านสัญญาณออกก็ไม่ทราบ)

อย่างไรก็ตาม ลัทธิคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยซึ่งแสดงออกด้วย พคท. คงเป็นความจำที่ฝังลึกในหมู่อภิสิทธิ์ชนในเมืองไทยอย่างมาก เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ระบอบอภิสิทธิ์จะถูกท้าทายอย่างหนักเท่ากับการลุกขึ้นปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธของ พคท. ในระหว่างที่การปลุกกระแสคอมมิวนิสต์ยังไม่สงบนั้น กกต.ซึ่งทหารตั้งขึ้นเหมือนกัน จึงรีบออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อสามเดือนที่แล้ว มีคนขอตั้งพรรคในนาม "สังคมนิยม" แต่ กกต.ไม่อนุมัติ เพราะ กกต.ถือว่า "สังคมนิยม" คือ "คอมมิวนิสต์" และชื่อนี้ย่อมบ่อนทำลาย "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

กกต.ไม่สนใจว่า พรรคเลเบอร์เป็นรัฐบาลอังกฤษในสมเด็จพระบรมราชินีนาถอยู่ในขณะนี้ และไม่สนใจว่าการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ในสเปนนั้น กระทำในช่วงที่พรรคสังคมนิยมเป็นรัฐบาลต่อกันสองสมัย ในประเทศสแกนดิเนเวียซึ่งมีกษัตริย์ทุกประเทศ ล้วนเคยมีรัฐบาลที่มีเชื้อของสังคมนิยม - มากบ้าง น้อยบ้าง - ปกครองประเทศมาแล้วทั้งนั้น

คอมมิวนิสต์คืออะไร?

ประธานเหมาเคยพูดว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นส่งออกไม่ได้ เพราะมันโตขึ้นมาจากพื้นแผ่นดินของแต่ละสังคมเอง

คอมมิวนิสต์จึงไม่ได้มีความหมายเป็นสากล แต่มีความหมายของท้องถิ่นซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม

ในเมืองไทย ผมคิดว่าคอมมิวนิสต์หมายถึงคนที่ไม่ได้ถูกผนวกรวมเข้ามา (disincorporated) ถูกกีดกัน (excluded) ถูดรอนสิทธิและความเท่าเทียม (disenfranchised) คนเหล่านี้มีจำนวนมหึมา

จะด้วยเหตุใดก็ตาม สำนึกว่าเขาคือคนที่ไม่ถูกผนวกรวม, ถูกกีดกัน และถูกรอนสิทธิเกิดขึ้น และแพร่หลายกว้างขวางมากขึ้นตลอดมา แต่ระบบการเมืองและสังคมภายใต้ระบอบเผด็จการทหารไม่อนุญาตให้เขาเขยื้อนเข้าสู่เวทีแห่งการต่อรองได้ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม, การเมือง, เศรษฐกิจหรือสังคม พคท.เสนอทางออกให้คือการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ ดูจะเป็นทางเลือกเดียวที่มีอยู่ พคท.จึงได้รับการสนับสนุนพอสมควร

พคท.เป็นเครื่องมือเพียงอันเดียวที่เขามีอยู่ในขณะนั้น ที่จะใช้เพื่อเขยื้อนเข้าไปสู่เวทีต่อรอง

หลังการล่มสลายของ พคท. ระบอบเลือกตั้งที่มีความสืบเนื่องมั่นคงพอสมควร ก็ไม่สามารถทำให้คนเหล่านี้ฟันฝ่าการกีดกัน, การไม่ถูกผนวกรวม, และการรอนสิทธิเพิ่มขึ้นได้อีกมากนัก อย่างไรก็ตาม ระบอบเลือกตั้งเปิดทางเลือกอื่นๆ ให้แก่คนเหล่านี้มากกว่าการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ

คนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไปใช้สื่อเป็นเครื่องมือที่ได้ผล โดยเฉพาะภายใต้ฝ่ายบริหารที่ไม่มั่นคง (เช่นเป็นรัฐบาลผสมหลายฝ่าย หรือคณะรัฐประหารซึ่งถึงอย่างไรก็ต้องหน่อมแน้ม) ทำให้สามารถกำกับรัฐบาลได้ในระดับหนึ่ง

น่าเสียดายที่การพัฒนากลไกประชาธิปไตย เช่น สื่อ, องค์กรวิชาชีพ, สหภาพ, กลุ่มผลประโยชน์, กลุ่มกดดัน, กลุ่มประโยชน์สาธารณะ, พรรคการเมือง ฯลฯ เป็นไปอย่างเชื่องช้าภายใต้ระบอบเลือกตั้ง (แม้ขยายตัวขึ้นมาก) จึงทำให้เครื่องมือในการกำกับและตรวจสอบอำนาจรัฐทำได้จำกัด

น่าเสียดายอีกอย่างหนึ่งที่กลไกดังกล่าวนั้นไม่ได้รับใช้คนส่วนใหญ่ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าคนชั้นกลางระดับกลางลงมา พวกเขายังคงถูกกีดกัน, ไม่ถูกผนวกรวม และถูกรอนสิทธิอยู่ต่อมา เกือบเหมือนเดิม ในขณะที่สำนึกความเท่าเทียมในฐานะพลเมืองของตนกลับเข้มข้นขึ้น

ท่ามกลางเครื่องมือที่ไม่พร้อมเช่นนี้ สิ่งที่ประชาชนทั้งคนชั้นกลางระดับกลางและระดับล่างใช้ จึงเหลืออยู่แต่เพียงการชุมนุมประท้วง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างหนาตาในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา

คนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป หมดความอดทนกับระบอบเลือกตั้ง และต้องการกำกับควบคุมรัฐบาลมากกว่าที่เคย ใช้การชุมนุมประท้วง เพื่อขัดขวางรัฐบาลที่ตนไม่พอใจ ด้วยมาตรการรุนแรงละเมิดกฎหมาย บีบบังคับให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ตัวไม่ไว้ใจนั้นต้องออกไป กลุ่มคนชั้นกลางระดับล่าง ก็ใช้การชุมนุมประท้วงเพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากกระบวนการรัฐสภาที่ตัวไม่ไว้วางใจ และด้วยวิธีอย่างเดียวกัน

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการกดดันของคนจำนวนมากที่ต้องการเขยื้อนเข้าไปบนเวทีต่อรอง ทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง มีเป้าหมายอันเดียวกัน แต่ด้วยยุทธวิธีที่ต่างกัน ในขณะที่เสื้อเหลืองหันไปเป็นพันธมิตรกับอภิสิทธิ์ชนบางกลุ่ม เสื้อแดงหันไปเป็นพันธมิตรกับทักษิณ

ทั้งอภิสิทธิ์ชนและทักษิณเป็นแค่เครื่องมือใกล้ตัวที่พอหยิบฉวยได้ (เชื่อเถอะ แล้วสักวันเขาก็ทิ้งไป เมื่อได้เครื่องมือที่ดีกว่า)

ผมคิดว่าปัญหาที่แท้จริงของการปฏิรูปการเมืองอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่มาตราใดมาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญ เรากำลังเผชิญสำนึกของประชาชนจำนวนมาก ที่รู้สึกว่าตัวไม่ถูกรวมเข้าไป, ถูกกีดกันออกไป, และถูกรอนสิทธิ ไม่ต่างจากผู้คนอีกมากที่เข้าร่วมกับกองกำลังของ พคท. การจะมีสภาเดียวหรือสองสภาตอบปัญหานี้ไม่ได้ พรรคการเมืองถูกยุบได้ง่ายหรือยากก็ตอบไม่ได้, เลือกตั้งพวงเล็กหรือพวงใหญ่ก็ตอบไม่ได้

ที่จะตอบได้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "กลไก" ประชาธิปไตย ซึ่งต้องเร่งพัฒนาขึ้นเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการต่อรองมากขึ้น และคนทุกชั้นสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น พรรคการเมืองต้องจัดองค์กรในลักษณะที่ทำให้นโยบายต้องเกิดจากการต่อรองของภาคประชาชนจริง สื่อต้องใช้เสรีภาพที่ตัวได้อย่างมีกึ๋นกว่านี้อีกแยะ องค์กรที่เป็นปากเสียงของประชาชนต้องเกิดขึ้นอย่างหลากหลายกว่านี้ และทำงานได้ผลกว่าเอ็นจีโอ ฯลฯ

ปฏิรูปการเมืองต้องเริ่มจากโจทย์ที่เป็นจริง กล่าวคือมีคนจำนวนมากขึ้นที่คิดว่าประเทศไทยกำลังทำร้ายเขาอยู่ ฉะนั้นโจทย์คือประเทศไทยจะหยุดทำร้ายประชาชนได้อย่างไร

ตอบโจทย์นี้ได้ ก็จะได้โจทย์ที่จะใช้เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ และจะเป็นการแก้เพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ของนักการเมือง

(ในขณะเดียวกันผมก็ไม่สู้จะเข้าใจความหมายของการ "หยุดทำร้ายประเทศไทย" นัก สิ่งที่ห่วงกันนักว่าประเทศไทยถูกทำร้ายก็คือ การเคลื่อนไหวของประชาชนทำให้บรรยากาศการลงทุนเสียไป แต่การลงทุนที่ขาดมาตรการที่จะทำให้การกระจายผลดีตกไปถึงประชาชนอย่างเป็นธรรมและกว้างขวาง ไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทยหรอกหรือ การเลือกปฏิบัติในการใช้กฎหมายเพื่อควบคุมกติกาการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบ ไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทยหรอกหรือ การปล่อยให้โรงงานปิดตัวลงโดยไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้แรงงานตามกฎหมาย ไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทยหรอกหรือ ผู้ทำนาต้องเช่านาผู้อื่นทำจำนวนมากโดยรัฐไม่ยอมขยับเขยื้อนปฏิรูปที่ดินอย่างจริงจัง ไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทยหรอกหรือ ฯลฯ หากคำตอบของคำถามเหล่านี้คือ เป็นเหตุการณ์ปกติที่ไม่ทำร้ายประเทศไทยแต่อย่างใด ประเทศไทยควรปลอดภัยโดยไม่ถูกประชาชนของตนเองทำร้ายตอบบ้างหรือ)

หน้า 6