booking,books,book google,bookshelf,bookshop,bookstore,booknet,books blog,book for fun,book smile,book review,asia book,notebook,thai book cafe,thai book fair,thai book online,thai book shop,thai book store,newspaper
Tuesday, January 19, 2010
เขายายเที่ยง
เสียดายที่ผมไม่ได้เป็นโฆษกของสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะผมน่าจะให้เหตุผลที่ไม่ฟ้องพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ดีกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกัน สำนักงานอัยการสูงสุดก็คงพังไปมากกว่านี้ด้วย หากได้ผมไปเป็นโฆษก
เหตุผลที่ท่านโฆษกแถลงการณ์ไม่ฟ้องพลเอกสุรยุทธ์ก็คือ ไม่มีเจตนา ในทรรศนะของผมแล้ว นี่ฟังไม่ขึ้นเลยครับ
ซื้อที่ดิน 20 ไร่ โดยปราศจากเอกสารสิทธิใดๆ เพียงแต่แจ้งให้องค์กรปกครองท้องที่ทราบว่า ตนจะเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่เป็นรายต่อไป ผู้ซื้อทราบหรือไม่ว่า ลักษณะการซื้อขายที่ดินเช่นนี้ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมาย กรณีซื้อที่ดิน "มือเปล่า" เช่นนี้เกิดในเมืองไทยมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และเป็นที่รู้โดยทั่วไปว่า นี่เป็นการซื้อขายที่กฎหมายไม่รับรอง และมักจะเกิดในที่ดินซึ่งโดยกฎหมายแล้วซื้อขายไม่ได้ เช่น ป่าสงวน, พื้นที่ซึ่งรัฐมอบให้ประชาชนยากจนทำกิน, พื้นที่ ส.ป.ก. ฯลฯ
ผมยอมรับว่า ผู้ซื้อที่ดินประเภทนี้บางราย สามารถใช้อำนาจเงินหรืออำนาจทางอื่นของตน ไปทำให้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินออกเอกสารสิทธิให้ได้ในภายหลัง เป็นเอกสารสิทธิที่ออกให้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วรัฐก็ไม่สามารถตามไปเอาคืนได้ บางรายไม่สนใจว่าจะได้เอกสารสิทธิหรือไม่ แต่ใช้ที่ดินนั้นทำธุรกิจหากำไร และมักจะทำได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ โดยรัฐไม่เคยสนใจจะไปขับไล่แต่อย่างใด อย่างเดียวกับเปิดสถานบันเทิงในกรุงเทพฯโดยไม่ต้องขออนุญาต เพราะรัฐก็ไม่เคยไปตรวจสอบหรือปิดกิจการ ยกเว้นแต่เกิดเหตุไฟไหม้จนคนตาย หรือเปิดบ่อนให้อึกทึกเกินไปเท่านั้น
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กฎหมายไทยมีไว้ แต่มักไม่ค่อยได้บังคับใช้จริงจัง โดยเฉพาะกฎหมายที่ดินสาธารณะทั้งหลาย
หากเป็นชาวบ้านธรรมดา ซื้อขายที่ดินประเภทนี้โดยไม่รู้ว่าใบรับเงินเสียภาษีท้องที่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ ก็พอเข้าใจได้หรอกครับ แต่คนที่เป็นแม่ทัพภาค, แม่ทัพบก, ผบ.สส., องคมนตรี และนายกรัฐมนตรี บอกว่าสำคัญผิดในเรื่องการถือครองที่ดินประเภทนี้ จึงรับซื้อมาโดยไม่เข้าใจกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมาย จะฟังขึ้นหรือครับ
และถ้าพลเอกสุรยุทธ์รู้สถานะที่แท้จริงของที่ดินซึ่งตัวรับซื้อมาแต่ต้น จะบอกว่าไม่เจตนาได้หรือครับ
เจตนาคืออะไร ถ้าไม่ใช่ความรู้ว่าตัวทำอะไรอยู่ และมีผลกระทบอย่างไรต่อกฎหมายและสังคมโดยรวม หากแถลงเหตุผลที่ไม่ฟ้องพลเอกสุรยุทธ์อย่างนี้ จะมิเป็นการส่งสัญญาณให้คนมีเงินและมีอำนาจทั้งหลายรู้ว่า จงสั่งสมที่ดินประเภทนี้ไว้เถิด เพียงแต่อย่าซื้อโดยตรงจากชาวบ้านผู้ได้รับสิทธิทำกินบนที่ดิน หาชาวบ้านอื่นมารับซื้อไปก่อน แล้วท่านจึงค่อยรับซื้อต่อจากชาวบ้านรายที่สอง เพื่อแสดงว่าท่านไม่ได้มีเจตนาบุกรุกที่ดินอันเป็นสมบัติสาธารณะ อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือรัฐยึดที่ดินนั้นคืนไป แต่ท่านไม่มีความผิดตามกฎหมาย
เพราะฉะนั้น หากผมเป็นโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ผมจะไม่แถลงเหตุผลอย่างนี้เป็นอันขาด แต่ผมจะแถลงว่า เฮ้ย ใครๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ
นักกฎหมายไทยคงร้องกันขรมว่า พูดอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะไม่ว่ากฎหมายจะถูกละเมิดอย่างไร กฎหมายก็ยังเป็นกฎหมายอยู่นั่นเอง อย่างไรเสียก็ต้องรักษาความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของกฎหมายเอาไว้
แต่ผมซึ่งไม่เคยเรียนกฎหมายเลยกลับเห็นตรงกันข้าม ความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของกฎหมายไม่ได้มีขึ้นเพราะมันเป็นกฎหมาย หรือเพราะเคยถูกพิมพ์ในราชกิจจาฯ ถ้าความ "ศักดิ์สิทธิ์" เกิดได้เพียงเท่านั้น ผมเสนอให้เราเขียนกฎหมายเป็นภาษาบาลีดีกว่า จะได้เอาไว้สวดกันทุกเช้า-เย็นด้วย
ความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของกฎหมายเกิดขึ้นได้ เพราะถูกบังคับใช้เป็นประจำและอย่างสม่ำเสมอครับ กฎหมายใดไม่ถูกบังคับใช้เป็นประจำ หรือไม่ถูกบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอ กฎหมายนั้นก็หมดความ "ศักดิ์สิทธิ์" ลง หมดลงในชีวิตจริงของผู้คนนะครับ ไม่ว่านักกฎหมายจะร้องแรกแหกกระเชออย่างไรก็ตาม
กฎหมายที่บังคับให้ผู้ขี่จักรยานในถนนสาธารณะต้องมีใบขับขี่เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ยกเลิกกฎหมายนี้ แต่ไม่มีใครบังคับใช้มานานเต็มทีแล้ว จนกระทั่งหากตำรวจจราจรคนใดจับคนขี่จักรยานที่ไม่มีใบขับขี่ ผมคิดว่าผู้บังคับบัญชาควรสั่งขังตำรวจจราจรคนนั้นทันที เพราะ "มึงจะไถเขาแน่"
ในสหรัฐ ศาลยกฟ้องจำเลยมามากแล้ว หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า กฎหมายที่เขาละเมิด (ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่) เป็นกฎหมายที่ไม่เคยบังคับใช้เป็นปกติ หรือไม่ได้บังคับใช้อย่างสม่ำเสมอ
ในประเทศที่อำนาจตุลาการเป็นอิสระอย่างแท้จริง กล่าวคือ ไม่ใช่อิสระเฉพาะการบังคับบัญชาและระบบเงินเดือน แต่อิสระเข้าไปถึงวิธีคิดหรือสมองของผู้พิพากษาด้วย อำนาจตุลาการจะคอยถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารอย่างรัดกุมเสมอ กฎหมายที่ไม่ได้บังคับใช้เป็นปกติหรือไม่ได้บังคับใช้อย่างสม่ำเสมอ คือการมอบอำนาจให้รัฐอย่างไม่มีประมาณ เพราะรัฐอาจเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองได้ตามใจชอบ มีกฎหมายไว้ปราบปรามกดขี่เฉพาะคนที่เป็นศัตรูกับรัฐ จึงเป็นอันตรายต่อสังคมเสียยิ่งกว่าปล่อยผู้ละเมิดให้พ้นผิด... ครับ เพื่อผดุงความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของกฎหมายเอาไว้
หากโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดแถลงอย่างนี้ จะเปิดให้คนพากันละเมิดกฎหมายกันเป็นการใหญ่หรือไม่ เปิดครับ เปิดแน่เลย จนกลายเป็นเงื่อนไขบังคับให้กระบวนการยุติธรรมของไทยต้องเลิกเลือกปฏิบัติ หรือ "สองมาตรฐาน" ตามสำนวนของแกนนำเสื้อแดงเสียที และอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัญหาเรื่องการบุกรุกที่ดินสาธารณะนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงบ้านพักตากอากาศของพลเอกสุรยุทธ์เท่านั้น แต่รวมเป็นพื้นที่คงจะหลายล้านไร่ทั่วประเทศ จะแก้ไขกันอย่างไร ก็ต้องคิดอย่างจริงจังเสียที เพื่อให้เกิดทั้งสมรรถนะและความเป็นธรรมในสังคม
ฉะนั้น เมื่อพูดถึงพลเอกสุรยุทธ์กับเขายายเที่ยงแล้ว จึงอดที่จะพูดถึงเสื้อแดงกับเขายายเที่ยงด้วยไม่ได้
ตราบเท่าที่เสื้อแดงยังต่อสู้ให้ทักษิณ ผมเชื่อว่าพลังของเสื้อแดงมีแต่จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ (เช่นเดียวกับเสื้อเหลือง หากยังต่อสู้เพื่อขจัดทักษิณเป็นประเด็นหลัก ผมก็เชื่อว่าพลังของเสื้อเหลืองมีแต่จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน) ร้ายยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการดูแคลนคนไทยโดยทั่วไป ทั้งที่สวมและไม่ได้สวมเสื้อแดง
จะยกขึ้นไปบนเขายายเที่ยงก็ไม่ว่า แม้แต่จะเอาพลเอกสุรยุทธ์เป็นเป้าทางยุทธวิธีก็ไม่ว่าอีกเหมือนกัน เพราะทำให้เห็นรูปธรรมได้เด่นชัด แต่ขอโทษเถิดครับ ยุทธศาสตร์คืออะไรเล่าครับ หากยุทธศาสตร์มีเพียงเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ทักษิณ จะหวังให้คนส่วนใหญ่เข้าไปร่วมย่อมเป็นไปไม่ได้
เพราะการเลือกปฏิบัติด้วยสองมาตรฐานนั้นเป็นปัญหาแก่คนไทยทั้งประเทศ เป็นปัญหาเสียยิ่งกว่าที่ทักษิณโดนเสียอีก ยิ่งคิดเลยไปถึงการกระจายการถือครองที่ดินของไทย ก็ยิ่งจะเห็นปัญหามหึมาที่คนไทยส่วนใหญ่ต้องเผชิญอยู่เวลานี้ นั่นคือเข้าไม่ถึงที่ดิน ไม่ว่าจะเพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิต หรือเพียงเพื่อจ่อมอาศัยกินอยู่หลับนอนเหมือนมนุษย์ปกติ
อย่าคิดแต่เรื่องเกษตรกรรมเท่านั้นนะครับ การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเลวร้ายดังที่มีในประเทศไทย ย่อมหมายถึงการลงทุนภาคอุตสาหกรรมและบริการที่สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น เพราะต้องลงทุนซื้อที่ดิน (อันเป็นปัจจัยการผลิตที่ไม่ผลิต) ในสัดส่วนที่สูงมากของเงินลงทุน - ผมคิดว่าราคาที่ดินเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนมากกว่าสิ่งแวดล้อมที่ดีเสียอีก ไม่จำเป็นต้องขู่ว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะย้ายทุนหนีเพราะกรณีมาบตาพุด นักลงทุนญี่ปุ่นสามารถทำสกปรกในเมืองญี่ปุ่นได้เท่ากับมาบตาพุดหรือ คนไทยเป็นสัตว์ชั้นต่ำขนาดที่ไม่มีสิทธิจะมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดีเท่าพี่ยุ่นหรือ - นอกจากนี้ควรคิดเลยไปถึงแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการอีกมาก ที่น่าจะสามารถเช่าห้องพักได้ถูกลง จนกระทั่งมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นอีกด้วย หรือแม้แต่คนชั้นกลางจะสามารถวางดาวน์ผ่อนบ้านได้มากขึ้นด้วย
นี่เป็นตัวอย่างของปัญหาที่คนไทยเผชิญอยู่จำนวนมาก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทักษิณเลย รวมทั้งตัวทักษิณเองก็ไม่เคยมีประวัติว่าได้พยายามหรือแม้แต่คิดจะแก้ปัญหาการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน "สองมาตรฐาน" นั้นไม่ใช่คุณสมบัติพิเศษของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่เป็นมาตรการปกติที่รัฐบาลไทยทุกรัฐบาลทำมาอย่างต่อเนื่อง (ตั้งแต่สุโขทัย) แล้ว เราอยากได้ประชาธิปไตยก็เพื่อจะไม่มีใครถูกเลือกปฏิบัติอีกไงครับ
โดยไม่เกี่ยวอะไรกับทักษิณ เสื้อแดง (รวมทั้งเสื้อเหลือง) ต้องพูดถึงความไม่เป็นธรรมที่คนไทยส่วนใหญ่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร แรงงาน ผู้หญิง ผู้พิการ ผู้ติดเชื้อ ผู้ถูกท่องเที่ยว ผู้ถูก "พัฒนา" คนจน คนสลัม ผู้ค้ารายย่อย นักเรียนอาชีวะ ฯลฯ และต้องรณรงค์เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นคือผู้ที่ถูก "สองมาตรฐาน" เอารัดเอาเปรียบและกลั่นแกล้งมามากและนาน ทั้งมากและนานกว่าทักษิณเสียอีก
เหตุใดเราจึงต้องไปควักกระเป๋าและทนลำบากร่วมกับเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง เพื่อสนับสนุนหรือพิฆาตทักษิณ ในเมื่อเรามีปัญหาจริงในชีวิตจริงอีกมากมายที่ต้องเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลง ถึงทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ เราก็ต้องต่อสู้กับทักษิณเหมือนกับที่ต้องต่อสู้กับนายกฯ คนอื่นๆ นั่นแหละ
ที่มา : มติชนออนไลน์, 18 ม.ค. 53
Saturday, July 25, 2009
ทางออกจากทักษิณ
วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11454 มติชนรายวัน
ทางออกจากทักษิณ
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
คำขวัญของกลุ่มเสื้อแดงคือ "ล้มอำมาตย์" เพราะศัตรูสำคัญในทรรศนะของแกนนำเสื้อแดงคืออำมาตยาธิปไตย
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าคำนี้แปลว่าอะไร หากหมายถึงระบบการเมืองที่จำกัดเวทีเล่นกันเฉพาะในระบบราชการ ผมคิดว่าระบบราชการในเมืองไทยอ่อนพลังลงไปมาก จนมีความหมายทางการเมืองไม่สู้จะมากนัก
แม้แต่เมื่อเกิดรัฐประหารโดยฝ่ายที่ถูกเรียกว่า "อำมาตย์" แล้ว กลับพูดกันว่าระบบราชการ "เกียร์ว่าง" แสดงว่าหากระบบราชการยังมีพลังทางการเมืองจริง กลับเป็นพลังที่สนับสนุนระบอบที่ฝ่ายเสื้อแดงเรียกว่า "ประชาธิปไตย" ด้วยซ้ำ แต่ผมเชื่อว่าระบบราชการไม่ได้ "เกียร์ว่าง" เพื่อต่อต้านคณะรัฐประหาร หากราชการไม่รู้จะทำอะไรเท่าๆ กับรัฐบาลที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้นก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน
และแม้ในเวลานี้ ฝ่ายที่ต่อต้านกลุ่มเสื้อแดงอย่างออกหน้าที่สุดคือกลุ่มที่อยู่ในวงการเมือง ไม่ใช่ระบบราชการซึ่งได้แต่ประคองตัวให้อยู่รอดจากภัยการเมืองไปวันๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากแปลอำมาตยาธิปไตยว่า ระบบการเมืองที่เปิดให้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญและผู้มีการศึกษา ได้กำกับควบคุมการบริหารบ้านเมือง โดยคนทั่วไปไม่มีส่วนในการกำกับควบคุมเลย ถ้าอย่างนั้นผมก็เห็นว่าทัศนคติแบบอำมาตยาธิปไตยยังมีพลังในสังคมไทย แม้แต่กลุ่มเสื้อแดงเองที่อยากให้คุณทักษิณ ชินวัตร กลับมาเป็นนายกฯใหม่อีกครั้ง ก็อ้างความเชี่ยว?ชาญของคุณทักษิณ โดยไม่พูดอะไรเลยเกี่ยวกับการกำกับควบคุมรัฐบาล อันเป็นปัญหาที่ทำให้มีคนไม่พอใจรัฐบาลทักษิณเป็นอันมาก
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถูกกล่าวหา (หรือแกนนำบางคนก็แอบอ้างเอาเอง) ว่าเป็นฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ก็หาได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับระบบราชการแต่อย่างใด ทุกวันนี้กำลังเผชิญข้อหาของตำรวจว่าก่อการร้าย แม้เมื่อตอนเริ่มขบวนการใน พ.ศ.2548 ก็เห็นว่าการเมืองที่ไม่ชอบธรรมเข้าไปควบคุมระบบราชการ และทำให้ราชการขาดความเป็นธรรมไปด้วย พธม.จึงโจมตีราชการบางหน่วย และข้าราชการบางคนอย่างถึงพริกถึงขิง
รัฐประหารใน พ.ศ.2549 ซึ่งมี "อำมาตย์" จำนวนหนึ่งเป็นผู้นำและสนับสนุน ก็หาได้มีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างยั่งยืนกับ พธม.ไม่ แตกร้าวกันมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ จนถึงทุกวันนี้ บางคนในกลุ่ม พธม.ยังเชื่อว่า การลอบทำร้ายแกนนำบางคนของตนนั้น เป็นการกระทำของ "คนมีสี" ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของอำมาตยาธิปไตยนั่นเอง
คุณกษิต ภิรมย์ ซึ่งลือกันว่าเป็นคนของ พธม.ส่งเข้ามาร่วมรัฐบาล ก็หาใช่ตัวแทนของระบบราชการกระทรวงการต่างประเทศไม่ แม้เคยรับราชการมาตลอดชีวิตราชการที่นั่นก็ตาม โดยเฉพาะหากเปรียบเทียบกับคุณนิตย์ พิบูลสงคราม หรือคุณเตช บุนนาค ทั้งสองเป็น "มืออาชีพ" ที่คนกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าเป็นตัวแทนของตนมากกว่า
ดูอย่างไรก็มองไม่เห็นว่า พธม.จะเป็นตัวแทนของอำมาตยาธิปไตยไปได้อย่างไร
ความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลืองเสื้อแดง จึงไม่ใช่เพราะฝ่ายหนึ่งเชียร์อำมาตยาธิปไตย แต่อีกฝ่ายหนึ่งอยากล้ม ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันด้วยเรื่องประชาธิปไตยต่างหาก เพราะต่างก็นิยามประชาธิปไตยแตกต่างกัน
ประชาธิปไตยของไทยนั่นแหละที่เป็นตัวปัญหา เพราะสังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว ประชาธิปไตยจึงต้องพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้ให้ได้
ฝ่ายเสื้อเหลืองเห็นว่า ประชาธิปไตยไทยมีแต่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหนทางให้นักการเมืองขี้ฉ้อเข้ามากุมอำนาจรัฐ แล้วก็ทำการทุจริตคิดมิชอบกันไม่รู้จบ ถึงจะสร้างกลไกตรวจสอบอย่างที่รัฐธรรมนูญปี 2540 ทำไว้ ก็ไม่อาจป้องกันได้ เพราะนักการเมืองขี้ฉ้อ กลับแทรกแซงองค์กรอิสระเสียจนไม่อาจทำงานได้อย่างเที่ยงธรรม วิธีแก้คือสร้างหรือเสริมอำนาจนอกระบบ (ประชาธิปไตย) ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม, ตุลาการ, ระบบราชการบางส่วน หรือสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายเสื้อแดงให้ความสำคัญแก่การเลือกตั้งจนละเลยองค์ประกอบอื่นๆ ของประชาธิปไตยไปเสียหมด ทั้งนี้เพราะฝ่ายเสื้อแดงเชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรทรัพยากรให้ตกแก่ประชาชนที่อยู่นอกเขตตัวเมือง และประชาชนระดับล่างมากขึ้น ปัญหาการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองเป็นปัญหาระดับรอง เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลไทยทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐประหารได้ทำสืบเนื่องกันมานาน ฉะนั้นจึงต้องเอาระบอบเลือกตั้งกลับคืนมา โดยรอนอำนาจนอกระบบ (ประชาธิปไตย) ทุกชนิดลงเสีย เพื่อให้กระบวนการทางการเมืองเป็นกระบวนการที่มาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว
แม้ว่าผมไม่เห็นด้วยกับทางออกทางการเมืองของทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง แต่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ปัญหาทางการเมืองที่ทั้งสองฝ่ายมองเห็นนั้นล้วนเป็นปัญหาจริงในการเมืองไทยทั้งสิ้น และด้วยเหตุดังนั้น ทางออกทางการเมืองของไทยจึงต้องตอบปัญหาเหล่านั้นให้ได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการต่อสู้ทางการเมือง ผมคิดว่าทั้งสองฝ่ายลืมยุทธศาสตร์ไปเสียหมด นั่นคือ ลืมไปว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนนั้น มีจุดประสงค์ที่จะพัฒนาการเมืองไทยไปสู่ประชาธิปไตย ซึ่งต้องตอบปัญหาทางการเมืองที่ตัวมองเห็นได้ การต่อสู้ทางการเมืองมักให้ความสำคัญแก่ยุทธวิธีเสียจนยุทธศาสตร์หรือเป้าหมายหลักถูกวางไว้บนโปสเตอร์อย่างไร้ความหมายเสมอ
ยุทธวิธีที่ทั้งสองฝ่ายใช้อย่างได้ผลชื่อ ทักษิณ ชินวัตร พธม.ใช้ทักษิณเพื่อทำให้ผู้ที่ไม่เอาทักษิณหวาดกลัวว่าทักษิณกำลังจะกลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ฝ่าย นปก.ใช้ทักษิณเพื่อปลุกระดมคนเอาทักษิณให้ออกมาช่วยกันสร้างเงื่อนไขที่จะทำให้ทักษิณกลับมาสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง
ผมออกจะสงสัยว่า ทั้งสองฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าทักษิณไม่อาจเป็นคำตอบของการเมืองไทยได้แล้ว ทักษิณมีได้แต่พรรค แต่ทักษิณไม่มีพวก ผมหมายถึงคนที่สามารถเป็นแกนนำของแก๊งการเมือง และสามารถตอบสนองเชิงบริหารให้แก่ทักษิณได้ บริษัททักษิณใหญ่ในการเลือกตั้งแน่ แต่เสี่ยงเกินไปที่จะร่วมหุ้นด้วย ชื่อทักษิณเป็นชื่อที่ใช้ได้ดีในเชิงยุทธวิธีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อยุทธวิธีครอบงำการต่อสู้มานาน ทั้งสองฝ่ายจึงมีผลประโยชน์ปลูกฝังอยู่กับยุทธวิธีเสียจนไม่สามารถขยับออกไปสู่ยุทธศาสตร์ได้ ต่างฝ่ายต่างมีคดีติดตัวกันหลายคดี ต่างฝ่ายต่างมีพันธะทางใจกับ "สาวก" ของตนจำนวนมาก ซึ่งถูกดึงเข้ามาด้วยยุทธวิธีมากกว่ายุทธศาสตร์ ความขัดแย้งจึงถูกจำกัดลงเพียงเรื่องทักษิณ ส่วนเรื่องคอร์รัปชั่น, ฝ่ายบริหารที่ตรวจสอบไม่ได้ และการกระจายทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ฯลฯ หรือประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับปัญหาของสังคมไทย กลับถูกทิ้งไว้ตามเดิม โดยไม่มีฝ่ายใดแตะต้อง
รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ไม่สามารถนำประเทศทะลุทะลวงออกไปจากความติดตันทางการเมืองนี้ได้ เพราะแม้แต่ตัวรัฐบาลเองก็เป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งของยุทธวิธีเท่านั้น ซ้ำร้ายเมื่อได้อำนาจแล้วก็พอใจแต่จะเป็นเพียงเครื่องมือทางยุทธวิธีไปเรื่อยๆ เพื่อความอยู่รอดของตนเอง นอกจากรัฐบาลแล้ว ความขัดแย้งที่ติดตันนี้ยังใช้อะไรอื่นๆ ที่มีความสำคัญในสังคมอีกมาก แม้แต่รัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นเครื่องมือทางยุทธวิธี
เรื่องมันน่าเศร้า เพราะส่วนใหญ่ของประชาชนไม่ได้ติดตันอยู่ในความขัดแย้งนี้ แต่ต้องตกเป็นเชลยที่หาทางออกไม่ได้ไปด้วย
แม้กระนั้นประชาชนคนนอกทั้งหลายนี้เท่านั้นที่เป็นความหวัง ว่าสังคมไทยจะหาทางออกจากความขัดแย้งที่ติดตัน เพื่อไปสู่ความขัดแย้งที่อาจนำเราไปสู่ข้อสรุปและประชาธิปไตย โดยเฉพาะนักวิชาการ, กลุ่มประชาสังคม, องค์กรอิสระ, สื่อ, องค์กรผลประโยชน์ใหญ่ๆ เช่น หอการค้า, สภาอุตสาหกรรม ฯลฯ (หากเลิกคิดสั้นๆ แต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเสียที) และกลุ่มความเคลื่อนไหวทางสังคมอีกมาก
ภาระเป็นของคนนอก
หน้า 6
Tuesday, May 12, 2009
ประเทศไทยหยุดทำร้ายประชาชน
วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11384 มติชนรายวัน
ประเทศไทยหยุดทำร้ายประชาชน
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
คอมมิวนิสต์กำลังกลับมาเมืองไทยอีกแล้ว หรือพูดให้ถูกจริงๆ ก็คือคอมมิวนิสต์กำลังกลับมาสู่ปากของผู้มีอำนาจในเมืองไทยอีกแล้ว
ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่าง "คนเสื้อแดง" กับรัฐบาลผสมที่ฝ่ายทหารตั้งขึ้น ผมเข้าใจว่าการปลุกกระแสคอมมิวนิสต์เป็นยุทธวิธีหนึ่งที่กองทัพ หรือบางส่วนของกองทัพเลือกใช้ เพื่อสยบ "คนเสื้อแดง" หากสังคมโดยรวมรู้สึกว่าคอมมิวนิสต์คือภัยคุกคาม ทั้งนี้เพราะที่ผมได้ยินครั้งแรกนั้นมาจากแม่ทัพอากาศ แล้วจึงเสริมด้วยรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ
แต่จะเป็นด้วยพอหยั่งได้ว่าสังคมไม่สะดุ้งสะเทือน หรือเพราะเหตุใดไม่ทราบได้ ข่าวคอมมิวนิสต์ก็ถูกสยบลงเพราะแม่ทัพบกให้ความเห็นแก่ผู้สื่อข่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ในโลกปัจจุบันนี้เสียแล้ว ดูเหมือนใครๆ ก็คงเห็นด้วยกับท่านแม่ทัพ ข่าวเรื่องคอมมิวนิสต์จึงหายไปจากสื่อ (เพราะเชื่ออย่างนั้น หรือเพราะอ่านสัญญาณออกก็ไม่ทราบ)
อย่างไรก็ตาม ลัทธิคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยซึ่งแสดงออกด้วย พคท. คงเป็นความจำที่ฝังลึกในหมู่อภิสิทธิ์ชนในเมืองไทยอย่างมาก เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ระบอบอภิสิทธิ์จะถูกท้าทายอย่างหนักเท่ากับการลุกขึ้นปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธของ พคท. ในระหว่างที่การปลุกกระแสคอมมิวนิสต์ยังไม่สงบนั้น กกต.ซึ่งทหารตั้งขึ้นเหมือนกัน จึงรีบออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อสามเดือนที่แล้ว มีคนขอตั้งพรรคในนาม "สังคมนิยม" แต่ กกต.ไม่อนุมัติ เพราะ กกต.ถือว่า "สังคมนิยม" คือ "คอมมิวนิสต์" และชื่อนี้ย่อมบ่อนทำลาย "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
กกต.ไม่สนใจว่า พรรคเลเบอร์เป็นรัฐบาลอังกฤษในสมเด็จพระบรมราชินีนาถอยู่ในขณะนี้ และไม่สนใจว่าการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ในสเปนนั้น กระทำในช่วงที่พรรคสังคมนิยมเป็นรัฐบาลต่อกันสองสมัย ในประเทศสแกนดิเนเวียซึ่งมีกษัตริย์ทุกประเทศ ล้วนเคยมีรัฐบาลที่มีเชื้อของสังคมนิยม - มากบ้าง น้อยบ้าง - ปกครองประเทศมาแล้วทั้งนั้น
คอมมิวนิสต์คืออะไร?
ประธานเหมาเคยพูดว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นส่งออกไม่ได้ เพราะมันโตขึ้นมาจากพื้นแผ่นดินของแต่ละสังคมเอง
คอมมิวนิสต์จึงไม่ได้มีความหมายเป็นสากล แต่มีความหมายของท้องถิ่นซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม
ในเมืองไทย ผมคิดว่าคอมมิวนิสต์หมายถึงคนที่ไม่ได้ถูกผนวกรวมเข้ามา (disincorporated) ถูกกีดกัน (excluded) ถูดรอนสิทธิและความเท่าเทียม (disenfranchised) คนเหล่านี้มีจำนวนมหึมา
จะด้วยเหตุใดก็ตาม สำนึกว่าเขาคือคนที่ไม่ถูกผนวกรวม, ถูกกีดกัน และถูกรอนสิทธิเกิดขึ้น และแพร่หลายกว้างขวางมากขึ้นตลอดมา แต่ระบบการเมืองและสังคมภายใต้ระบอบเผด็จการทหารไม่อนุญาตให้เขาเขยื้อนเข้าสู่เวทีแห่งการต่อรองได้ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม, การเมือง, เศรษฐกิจหรือสังคม พคท.เสนอทางออกให้คือการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ ดูจะเป็นทางเลือกเดียวที่มีอยู่ พคท.จึงได้รับการสนับสนุนพอสมควร
พคท.เป็นเครื่องมือเพียงอันเดียวที่เขามีอยู่ในขณะนั้น ที่จะใช้เพื่อเขยื้อนเข้าไปสู่เวทีต่อรอง
หลังการล่มสลายของ พคท. ระบอบเลือกตั้งที่มีความสืบเนื่องมั่นคงพอสมควร ก็ไม่สามารถทำให้คนเหล่านี้ฟันฝ่าการกีดกัน, การไม่ถูกผนวกรวม, และการรอนสิทธิเพิ่มขึ้นได้อีกมากนัก อย่างไรก็ตาม ระบอบเลือกตั้งเปิดทางเลือกอื่นๆ ให้แก่คนเหล่านี้มากกว่าการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ
คนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไปใช้สื่อเป็นเครื่องมือที่ได้ผล โดยเฉพาะภายใต้ฝ่ายบริหารที่ไม่มั่นคง (เช่นเป็นรัฐบาลผสมหลายฝ่าย หรือคณะรัฐประหารซึ่งถึงอย่างไรก็ต้องหน่อมแน้ม) ทำให้สามารถกำกับรัฐบาลได้ในระดับหนึ่ง
น่าเสียดายที่การพัฒนากลไกประชาธิปไตย เช่น สื่อ, องค์กรวิชาชีพ, สหภาพ, กลุ่มผลประโยชน์, กลุ่มกดดัน, กลุ่มประโยชน์สาธารณะ, พรรคการเมือง ฯลฯ เป็นไปอย่างเชื่องช้าภายใต้ระบอบเลือกตั้ง (แม้ขยายตัวขึ้นมาก) จึงทำให้เครื่องมือในการกำกับและตรวจสอบอำนาจรัฐทำได้จำกัด
น่าเสียดายอีกอย่างหนึ่งที่กลไกดังกล่าวนั้นไม่ได้รับใช้คนส่วนใหญ่ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าคนชั้นกลางระดับกลางลงมา พวกเขายังคงถูกกีดกัน, ไม่ถูกผนวกรวม และถูกรอนสิทธิอยู่ต่อมา เกือบเหมือนเดิม ในขณะที่สำนึกความเท่าเทียมในฐานะพลเมืองของตนกลับเข้มข้นขึ้น
ท่ามกลางเครื่องมือที่ไม่พร้อมเช่นนี้ สิ่งที่ประชาชนทั้งคนชั้นกลางระดับกลางและระดับล่างใช้ จึงเหลืออยู่แต่เพียงการชุมนุมประท้วง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างหนาตาในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา
คนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป หมดความอดทนกับระบอบเลือกตั้ง และต้องการกำกับควบคุมรัฐบาลมากกว่าที่เคย ใช้การชุมนุมประท้วง เพื่อขัดขวางรัฐบาลที่ตนไม่พอใจ ด้วยมาตรการรุนแรงละเมิดกฎหมาย บีบบังคับให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ตัวไม่ไว้ใจนั้นต้องออกไป กลุ่มคนชั้นกลางระดับล่าง ก็ใช้การชุมนุมประท้วงเพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากกระบวนการรัฐสภาที่ตัวไม่ไว้วางใจ และด้วยวิธีอย่างเดียวกัน
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการกดดันของคนจำนวนมากที่ต้องการเขยื้อนเข้าไปบนเวทีต่อรอง ทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง มีเป้าหมายอันเดียวกัน แต่ด้วยยุทธวิธีที่ต่างกัน ในขณะที่เสื้อเหลืองหันไปเป็นพันธมิตรกับอภิสิทธิ์ชนบางกลุ่ม เสื้อแดงหันไปเป็นพันธมิตรกับทักษิณ
ทั้งอภิสิทธิ์ชนและทักษิณเป็นแค่เครื่องมือใกล้ตัวที่พอหยิบฉวยได้ (เชื่อเถอะ แล้วสักวันเขาก็ทิ้งไป เมื่อได้เครื่องมือที่ดีกว่า)
ผมคิดว่าปัญหาที่แท้จริงของการปฏิรูปการเมืองอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่มาตราใดมาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญ เรากำลังเผชิญสำนึกของประชาชนจำนวนมาก ที่รู้สึกว่าตัวไม่ถูกรวมเข้าไป, ถูกกีดกันออกไป, และถูกรอนสิทธิ ไม่ต่างจากผู้คนอีกมากที่เข้าร่วมกับกองกำลังของ พคท. การจะมีสภาเดียวหรือสองสภาตอบปัญหานี้ไม่ได้ พรรคการเมืองถูกยุบได้ง่ายหรือยากก็ตอบไม่ได้, เลือกตั้งพวงเล็กหรือพวงใหญ่ก็ตอบไม่ได้
ที่จะตอบได้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "กลไก" ประชาธิปไตย ซึ่งต้องเร่งพัฒนาขึ้นเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการต่อรองมากขึ้น และคนทุกชั้นสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น พรรคการเมืองต้องจัดองค์กรในลักษณะที่ทำให้นโยบายต้องเกิดจากการต่อรองของภาคประชาชนจริง สื่อต้องใช้เสรีภาพที่ตัวได้อย่างมีกึ๋นกว่านี้อีกแยะ องค์กรที่เป็นปากเสียงของประชาชนต้องเกิดขึ้นอย่างหลากหลายกว่านี้ และทำงานได้ผลกว่าเอ็นจีโอ ฯลฯ
ปฏิรูปการเมืองต้องเริ่มจากโจทย์ที่เป็นจริง กล่าวคือมีคนจำนวนมากขึ้นที่คิดว่าประเทศไทยกำลังทำร้ายเขาอยู่ ฉะนั้นโจทย์คือประเทศไทยจะหยุดทำร้ายประชาชนได้อย่างไร
ตอบโจทย์นี้ได้ ก็จะได้โจทย์ที่จะใช้เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ และจะเป็นการแก้เพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ของนักการเมือง
(ในขณะเดียวกันผมก็ไม่สู้จะเข้าใจความหมายของการ "หยุดทำร้ายประเทศไทย" นัก สิ่งที่ห่วงกันนักว่าประเทศไทยถูกทำร้ายก็คือ การเคลื่อนไหวของประชาชนทำให้บรรยากาศการลงทุนเสียไป แต่การลงทุนที่ขาดมาตรการที่จะทำให้การกระจายผลดีตกไปถึงประชาชนอย่างเป็นธรรมและกว้างขวาง ไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทยหรอกหรือ การเลือกปฏิบัติในการใช้กฎหมายเพื่อควบคุมกติกาการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบ ไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทยหรอกหรือ การปล่อยให้โรงงานปิดตัวลงโดยไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้แรงงานตามกฎหมาย ไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทยหรอกหรือ ผู้ทำนาต้องเช่านาผู้อื่นทำจำนวนมากโดยรัฐไม่ยอมขยับเขยื้อนปฏิรูปที่ดินอย่างจริงจัง ไม่ใช่การทำร้ายประเทศไทยหรอกหรือ ฯลฯ หากคำตอบของคำถามเหล่านี้คือ เป็นเหตุการณ์ปกติที่ไม่ทำร้ายประเทศไทยแต่อย่างใด ประเทศไทยควรปลอดภัยโดยไม่ถูกประชาชนของตนเองทำร้ายตอบบ้างหรือ)
หน้า 6
Saturday, February 7, 2009
ภาษีที่ดินและมรดก
ภาษีที่ดินและมรดก
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ผมเชียร์นโยบายออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของประชาธิปัตย์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเหมือนกัน แต่ครั้นศึกษาโดยรายละเอียดเข้า ก็ชักไม่แน่ใจว่าเป้าหมายที่แท้จริงของกฎหมายฉบับนี้คืออะไรกันแน่
ประโยคที่ตรงกันระหว่างรัฐมนตรีคลังกับท่านนายกฯ ก็คือ "เพื่อความเป็นธรรม" ซึ่งเป็นคำเพราะๆ ที่ไม่มีความหมายในทางปฏิบัติ (เพราะปฏิบัติได้หลายอย่าง) แต่ทางกระทรวงการคลังและหน่วยงานทางเศรษฐกิจมักเพ่งเล็งไปถึงตัวเงินที่จะได้มาจากการเก็บภาษี (ซึ่งตามร่าง พ.ร.บ.ที่สำนักงานเศรษฐกิจและการคลังปรับปรุงไว้ตั้งแต่ 2549 เงินจำนวนนี้จะอยู่ในมือ อปท.) บางคนถึงกับพูดว่า บทบาททางเศรษฐกิจการเงินของรัฐบาลในช่วงนี้ ทำให้ต้องมีเงินรายได้มากขึ้น
ทางฝ่ายท่านนายกฯออกจะระบุเป้าหมายได้ชัดเจนกว่า ท่านกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า "... จุดสำคัญของความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมก็เริ่มจากการที่ทรัพย์สินกระจายไปไม่เท่าเทียมกัน หากได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงเราก็เข้าใจ แต่ถ้าได้ในลักษณะของการสะสมไว้เฉยๆ ในขณะที่คนจำนวนมากยังมีความต้องการ อาทิ คนมีที่ดินมหาศาลทิ้งไว้รกร้างว่างเปล่า ในขณะที่เราต้องแก้ไขปัญหาเรื่องที่ทำกินให้กับประชาชน ก็ไม่เป็นธรรมกับสังคมโดยรวม"
ฉะนั้น เป้าหมายของกฎหมายที่ท่านนายกฯ อยากผลักดันในครั้งนี้ ก็คือแก้ปัญหาการถือครองที่ดินโดยไม่ใช้ประโยชน์ ซึ่งมีสัดส่วนสูงมากในประเทศไทยขณะนี้ และก็สมควรได้รับการแก้ไข
มีการพูดถึงการเก็บภาษีที่ดินในอัตราสูงกับที่ดินประเภทนี้ เพื่อให้คายที่ดินออกมาสู่ตลาด ผลที่พอจะมองเห็นว่าพึงเกิดขึ้นแน่ก็คือ กล้วยแขกจะมีราคาถูกลง เพราะผู้ครอบครองที่ดินย่อมลงกล้วย (อันเป็นพืชที่ไม่ต้องดูแลนัก) เต็มพื้นที่ เพื่อเปลี่ยนประเภทของที่ดินรกร้างกลายเป็นพื้นที่ทางการเกษตร และเสียภาษีในอัตราต่ำ
คนรวยไทยที่ไม่อยากเสี่ยงจะเก็บเงินไว้ที่ไหน ไม่ใช่ทองคำ, ไม่ใช่หุ้น, และแน่นอนไม่ใช่แบงก์, แต่ที่อันปลอดภัยที่สุดและได้ผลตอบแทนคุ้มที่สุด-โดยไม่ต้องเสี่ยง-คือที่ดินเหมือนเดิม
หรืออย่างดีที่สุดก็คือ ค่าเช่าที่ดินจะมีราคาต่ำลง โดยเฉพาะที่ชายขอบของการเกษตรที่เหมาะสำหรับพืชไร่ เพื่อแปรสภาพที่ดินนั้นเป็นที่ดินที่ถูกใช้ประโยชน์ทางการเกษตร (โดยผู้เช่า) และเสียภาษีในอัตราต่ำ
ดังนั้น จึงไม่มีที่ดินถูกคายมาสู่ตลาด จนทำให้ราคาที่ดินต่ำลงพอที่ผู้มีความต้องการทั่วไปจะเข้าถึงได้
เพียงเพื่อจะบรรลุเป้าหมายแคบๆ เท่าที่ท่านนายกฯ วางไว้นี้ จำเป็นต้องกลับไปทบทวนกฎหมายอื่นๆ อีกหลายตัว เพื่อจะทำให้ที่ดินหมดความเป็นสินค้าเก็งกำไร แม้การเก็งกำไรนั้นกระทำไปด้วยน้ำพักน้ำแรงโดยสุจริตก็ตาม เพราะไม่ว่าจะได้ที่ดินมาอย่างไร ผลโดยรวมแก่ผลิตภาพของเกษตรกรรมไทยย่อมเหมือนกัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกลับไปทบทวนกฎหมายเช่าที่ดิน จะต้องทำให้การเช่าที่ดินไม่ใช่การประกอบการที่มีกำไร (ในระยะสั้นหรือยาว) จะโดยเพิ่มอัตราภาษีเงินได้แก่รายได้ที่มาจากการเช่าที่ดิน หรืออัตราภาษีการโอนที่ดินซึ่งไม่ใช่ที่อยู่อาศัยอันถือครองมานาน หรือ ฯลฯ ก็ตาม
สมดังที่ท่านรัฐมนตรีคลังกล่าวว่า "เรื่องภาษีแทนที่จะแก้ทีละประเภท ก็น่าจะหยิบมาดูทั้งหมด..." แต่ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่า "ทั้งหมด" นั้นกว้างขวางมากกว่ากฎหมายเกี่ยวกับภาษีเพียงอย่างเดียว
อันที่จริง มิติที่ไม่ค่อยได้ยินรัฐบาลพูดถึง แต่กว้างกว่าความเป็นธรรมเสียอีกก็คือ ที่ดินเป็นทรัพยากรการผลิตที่สำคัญที่สุด อีกทั้งผู้คนสามารถนำทรัพยากรนี้ไปใช้ได้หลายลักษณะ ตามแต่ความสามารถและความถนัดของบุคคล และที่สำคัญกว่านั้นก็คือตามแต่วิถีชีวิตของแต่ละคน ที่ดินจึงเป็นทรัพยากรของชีวิต (เหมือนน้ำ, อากาศ และอาหาร) ฉะนั้น โดยหลักการแล้ว ที่ดินจึงไม่ควรเป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้การกำกับของตลาดล้วนๆ เหมือนสินค้าทั่วไป เพราะจะทำให้ผู้คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงทรัพยากรของชีวิตส่วนนี้ เราอาจมีสังคมที่ไม่เป็นธรรมได้ในหลายๆ เรื่อง แต่เราไม่ควรกีดกันผู้คนออกไปจากทรัพยากรของชีวิตเป็นอันขาด
ดังนั้น ในบางประเทศจึงรักษาหลักการข้อนี้ไว้ด้วยการกำหนดไม่ให้ถือครองที่ดินเกิน 99 ปี พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือประกาศว่าที่ดินเป็นทรัพยากรของส่วนรวม ห้ามมิให้ใครหวงห้ามไว้ใช้คนเดียวตลอดไป แม้ข้อกำหนดนี้ไม่เป็นผลมากนักในทางปฏิบัติ แต่อย่างน้อยหลักการว่าที่ดินเป็นทรัพยากรกลางก็ยังดำรงอยู่ หากจะปฏิรูปที่ดินเมื่อใด ก็อาจทำได้เพราะสอดคล้องกับหลักการที่ยอมรับกันมายาวนานนั้นแล้ว
แม้ไม่ค่อยได้ยินรัฐบาลพูดถึงมิตินี้ของที่ดิน แต่ที่จริงแล้วมิตินี้ของที่ดินเสียอีกที่ขาดไม่ได้ในการปฏิรูปที่ดิน จะได้ภาษีมาสักเท่าไรก็ไม่สำคัญ, จะลดความเหลื่อมล้ำของสังคมได้มากน้อยเท่าไรก็ไม่สำคัญ เมื่อเทียบกับการเปิดโอกาสที่เป็นไปได้ ให้ทุกคนที่อยากใช้ทรัพยากรที่ดินในการผลิต สามารถเข้าถึงได้
และด้วยเหตุดังนั้น ประเด็นต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ท่านนายกฯควรคิดใคร่ครวญให้ชัดเจนเสียก่อนที่จะใส่ใจกับเทคนิค-รายละเอียด อันเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถทำได้ หากเขารู้เป้าหมายชัดเจน
1/ เราควรนำกฎหมายจำกัดการถือครองที่ดินกลับมาใช้ใหม่หรือไม่ ส่วนจะจำกัดไว้เท่าไร, ยกเว้นในกรณีอะไร, และขั้นตอนการประกาศใช้ควรเป็นอย่างไร จึงจะไม่เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย เป็นเรื่องเทคนิครายละเอียด กฎหมายจำกัดการถือครอง ตรวจสอบและบังคับใช้ได้ง่าย อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการคายที่ดินได้เร็ว
2/ การยกเว้นภาษีที่ดินและทรัพย์สินแก่ที่ดินบางประเภทนั้น ควรทบทวนให้รอบคอบ เช่น "ทรัพย์สินของรัฐซึ่งใช้ในกิจการของรัฐ" อันหมายถึงที่ตั้งของหน่วยราชการทั้งหลายนั้น ไม่ควรได้รับสิทธิยกเว้นด้วยประการทั้งปวง เพราะถึงเสียภาษีไป ในที่สุดก็เวียนกลับมาสู่รัฐอยู่นั่นเอง (รัฐท้องถิ่นเป็นอย่างน้อย) จึงไม่มีผลเสียแต่อย่างใด กลับจะมีผลดีตรงที่ว่า หน่วยราชการหลายหน่วยในปัจจุบัน สะสมที่ดินไว้เกินใช้งาน (เช่นหน่วยทหาร) หรือใช้งานไม่คุ้มกับมูลค่าของที่ดิน (เช่นมหาวิทยาลัยของรัฐ) ก็สมควรถูกนโยบายนี้กดดันให้คายที่ดินออกมาใช้ในทางสาธารณประโยชน์มากขึ้น
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ควรเสียภาษีที่ดินเช่นเดียวกัน ที่ดินในครอบครองของสำนักงานแห่งนี้ประกอบด้วยสองส่วน คือส่วนที่ใช้ดำเนินงานในเชิงธุรกิจซึ่งให้ผลตอบแทนคุ้มพอที่จะเสียภาษีที่ดินได้ กับอีกส่วนหนึ่งคือส่วนที่ให้ประชาชนรายได้น้อยเช่า หากจะยกเว้นภาษีหรือเก็บในอัตราต่ำ ก็ควรเป็นที่ดินส่วนนี้
3/ อัตราภาษีนอกจากคิดจากลักษณะการใช้งานแล้ว ควรคำนึงถึงการลงทุนในภาครัฐประกอบด้วย ที่ดินซึ่งได้บริการจากรัฐมาก ก็ควรเสียภาษีมากกว่าที่ดินซึ่งได้รับบริการจากรัฐน้อย หรือแทบไม่ได้เลย
4/ ควรคิดให้รอบคอบว่า การให้เช่าที่ดินเป็นการประกอบการที่รัฐส่งเสริมหรือไม่ เพราะเป็นการประกอบการที่ไม่ก่อให้เกิดผลิตภาพอะไร หากถือหลักว่าที่ดินเป็นทรัพยากรชีวิต การให้เช่าที่ดินเป็นการประกอบการที่รัฐไม่ควรส่งเสริม ต้องหาทางทำให้ผู้ใช้ประโยชน์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินในระยะเวลาอันหนึ่ง
แต่จะดำเนินงานอย่างไรต้องคิดให้รอบคอบ เพราะเกษตรกรผู้ยากไร้ของไทยจำนวนมากในปัจจุบันไม่ได้มีที่ดินของตนเอง (โดยเฉพาะที่ดินในแหล่งผลิตข้าว) แต่ต้องเช่าที่ดินผู้อื่นทำการเกษตร ไม่ว่าจะเก็บภาษีเพิ่มตามข้อ 3 หรือเพิ่มภาษีที่ดินซึ่งเจ้าของไม่ได้ใช้ประโยชน์เอง เจ้าของนาย่อมผลักภาระนั้นมาแก่เกษตรกรผู้เช่าอย่างแน่นอน ค่าเช่าที่ดินย่อมสูงขึ้น และทำให้ภาวะขาดทุนของเกษตรกรทบทวีขึ้นไปอีก
5/ ที่อยู่อาศัย (ไม่ว่าจะมีขนาดเท่าใด) ก็ไม่ควรได้รับการยกเว้นภาษีที่ดิน แต่จะเก็บในอัตราต่ำได้ ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงข้อ 3 ประกอบด้วยเสมอ กล่าวคือที่ดินซึ่งได้รับบริการสาธารณะจากรัฐสูง ย่อมต้องเสียในอัตราที่สูงกว่า
6/ ควรกำหนดให้แน่ชัดว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่ง อปท.เก็บไปนั้น ต้องนำไปใช้ในทางใดเท่านั้น เช่นต้องใช้เพื่อส่งเสริมการศึกษาในท้องถิ่น ห้ามนำไปใช้อย่างอื่นเป็นต้น ส่วนการตีความว่าอะไรรวมเป็น "การศึกษา" ก็ควรทำให้กว้างกว่าโรงเรียนและแบบเรียน
7/ คณะกรรมการกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ควรประกอบด้วยหลายภาคส่วนของสังคม ไม่ควรกระจุกอยู่กับข้าราชการเท่านั้น และควรประกอบด้วยกรรมการหลายระดับชั้น
8/ ภาษีที่ดินควรคิดในอัตราก้าวหน้า หมายความว่าบุคคลยิ่งถือที่ดิน (ซึ่งใช้ประโยชน์ในลักษณะใดก็ตาม) ไว้ยิ่งมาก ก็ยิ่งทำให้อัตราภาษีสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
และมีสิ่งอื่นๆ ซึ่งควรคิดให้ดีอีกมาก
ในส่วนภาษีมรดก พบในหลายประเทศที่ใช้กฎหมายนี้ว่า ไม่ค่อยได้ผลมากนัก เพราะสามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายด้วยการถ่ายโอนก่อนเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจตรงกันด้วยว่า ผลที่กฎหมายภาษีมรดกมุ่งหวังคือ รัฐไม่พึงสนับสนุนให้ใครคาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากท้องแม่ ภายใต้หลักการแห่งความเสมอภาค และผลส่วนนี้แหละที่ภาษีมรดกไม่ประสบความสำเร็จในหลายสังคม
ดังนั้น หากจะมีภาษีมรดก น่าจะใช้ภาษีนี้เพื่อทำให้ที่ดินกระจายตัวได้เร็วจะดีกว่า นั่นก็คือมรดกส่วนที่เป็นที่ดินจะต้องเสียภาษี (ไม่ว่าจากทายาทหรือจากกองมรดก) ให้สูงมากๆ หากเจ้ามรดกจะถ่ายโอนก่อนเสียชีวิต ก็เป็นภาระอันหนึ่งซึ่งไม่สะดวกนัก เพราะทำให้ผู้รับต้องมีภาระทางภาษีเพิ่มขึ้น ส่วนจะแปรที่ดินเป็นทรัพย์สินอื่น ก็ถือว่าช่วยทำให้ที่ดินกระจายออกสู่ตลาด ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีที่ดินอยู่แล้ว
หน้า 6
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน, วันที่ 02 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
Monday, January 26, 2009
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในวันที่ 25 ธันวาคม 2551 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้ลงความเห็นจากการสอบสวนว่า อิหม่ามยาปะ กาเซง อายุ 56 ปี ได้เสียชีวิตจากการถูกทรมานอย่างทารุณในระหว่างวันที่ 20-21 มีนาคม 2551 ที่ค่ายภาคสนามของหน่วยกำลังที่ 39 ในอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ร่องรอยการทรมานทุบตีปรากฏอย่างเด่นชัดบนร่างกายของอิหม่าม
ต่อมาอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ครม. ของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ลงมติให้ต่ออายุการใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้ต่อไปอีก 3 เดือน ทั้งๆ ที่การให้อำนาจอย่างไม่มีการตรวจสอบแก่เจ้าหน้าที่ใน พ.ร.ก.ฉบับนั้น ทำให้การทรมานผู้ต้องหาซึ่งถูกกองทัพ (หรือกองกำลังผสมทหาร-ตำรวจ) จับกุมเพื่อรีดข่าว หรือบังคับให้สารภาพได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วไปในสามจังหวัดและสามอำเภอของสงขลา
ก่อนจะพูดอะไรอื่นต่อไป เมื่อคำนึงถึงความโดดเดี่ยวในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ของท่านผู้พิพากษาแห่งศาลจังหวัดนราธิวาส ผมขอน้อมคารวะท่านอย่างสูง
อันที่จริงในช่วงเวลาที่จะตัดสินใจต่ออายุ พ.ร.ก.ดังกล่าวนี้เอง การละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ตอนล่างของไทยได้กลายลักษณะเป็น "นานาชาติ" ไปแล้ว
องค์กรนิรโทษกรรมสากลได้รายงานการวิจัยในพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้ โดยการสัมภาษณ์บุคคลที่ถูกจับกุมคุมขัง 34 คน โดยมี 13 คนที่ถูกทรมานโดยตรง นอกจากนี้ ยังได้สัมภาษณ์ญาติพี่น้องของเหยื่อ และสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งในพื้นที่และในกรุงเทพฯอีกด้วย รายงานวิจัยระบุอย่างชัดเจนว่า การทรมานผู้ถูกจับกุมคุมขังโดยกองทัพกระทำอย่างกว้างขวางทั่วไปในสี่จังหวัดภาคใต้ ทั้งในที่คุมขังซึ่งไม่เป็นทางการ (อันเป็นการคุมขังที่ผิดกฎหมาย) และที่คุมขังซึ่งเป็นทางการ จนกระทั่งองค์กรนิรโทษสากลถือว่ากองทัพไทยใช้การทรมาน "อย่างเป็นระบบ"
"อย่างเป็นระบบ" ในทางกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่ามีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากระดับบนให้กระทำ หรือผู้บังคับบัญชาระดับบนให้ความเห็นชอบต่อการทรมาน เพราะจากประสบการณ์ขององค์กรพบว่า ในทุกประเทศที่ใช้การทรมาน จะไม่มีกฎเกณฑ์เป็นลายลักษณ์อักษรหรือคำอนุมัติโดยทางการเลย ตรงกันข้ามกลับมีแต่คำสั่งห้ามปรามและถือเป็นโทษทั้งสิ้น แต่ในทางปฏิบัติก็ทำกันทั่วไป ฉะนั้น การใช้การทรมาน "อย่างเป็นระบบ" ตามนิยามของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (ซึ่งไทยไม่ยอมร่วมเป็นภาคี และไม่มีกฎหมายไทยที่ถือว่าการทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐเป็นโทษโดยตรง) จึงมีความหมายว่า ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในพื้นที่กว้างขวาง และดำรงอยู่ได้เพราะกฎหมายหรือนโยบายของรัฐเอื้ออำนวย หรือถึงไม่เอื้ออำนวยก็ไม่มีกลไกระแวดระวัง
ตรงกับกรณีของ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ ของไทย ซึ่ง ครม.ของคุณอภิสิทธิ์ต่ออายุการใช้ให้ และตรงกับแบบปฏิบัติของกองทัพและรัฐบาลไทยพอดี
ท่าทีของ ครม.อภิสิทธิ์เป็นอย่างไรต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเช่นนี้ ผมคิดว่าคำตอบอย่างเป็นธรรมก็คือ "ประนีประนอม" หมายความว่าไม่อยากให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรืออย่างน้อยก็ไม่อยากให้เป็นข่าวว่ารัฐบาลนิ่งดูดาย แต่ก็ไม่มีความกล้าหาญพอจะสอบสวนลงโทษอย่างจริงจังเพื่อส่งสัญญาณให้กองทัพรู้ว่า รัฐบาลจะไม่นิ่งเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นนี้
ในทางการเมือง นับเป็นท่าทีที่ผิวหนังไม่ถลอก ทหารรับได้และผู้เลือกตั้งพอรับได้ จึงเป็นท่าทีอันชาญฉลาด (clever) ซึ่งไม่มีใครทำได้นอกจากพรรคประชาธิปัตย์
คุณอภิสิทธิ์ได้ตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรี ประกอบด้วยรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งด้านความมั่นคงและการพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาของภาคใต้ตอนล่างโดยเฉพาะขึ้น เพราะท่านนายกฯเชื่อว่าต้องสร้างเอกภาพในการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา ไม่พึ่งเฉพาะกองทัพหรือการปราบปรามเป็นหลักเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ในวันที่ 17 ม.ค. 2552 คุณอภิสิทธิ์ได้นำคณะกรรมการรัฐมนตรีดังกล่าวลงพื้นที่ เพื่อให้มีความคุ้นเคยกับปัญหามากขึ้น พร้อมกันไปกับการให้นโยบายแก่หน่วยงาน
สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์เน้นย้ำก็คือ เอกภาพในการดำเนินงาน ซึ่งเท่ากับปรับเปลี่ยนนโยบาย คือจะประสานการพัฒนาในทุกด้านไปกับมาตรการทางทหาร แต่จะพัฒนาอะไรยังไม่ชัดเจนนัก คุณอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเพียงว่า "นโยบายรัฐบาลมีทั้งโครงการขนาดใหญ่และนโยบายที่จะลงไปในชุมชน... ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ ที่มีทั้งภาคอุตสาหกรรมและอื่นๆ เราจะใช้วัฒนธรรมและความหลากหลายมาพัฒนาเศรษฐกิจ"
การพัฒนากับมาตรการทางทหารอาจประสานไปกันได้ก็จริง แต่การพัฒนาก็สามารถประสานไปกันได้กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางด้วย ข้อนี้มีประจักษ์พยานทั่วไปทั้งประเทศ รวมทั้งในพื้นที่สี่จังหวัดด้วย นโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้เตรียมการไว้สำหรับผลกระทบด้านนี้อย่างไร ไม่ชัดแจ้ง
ในส่วนการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่เป็นข่าวไปทั่วโลกแล้วนั้น คำพูดของคุณอภิสิทธิ์ดูเหมือนจะส่อว่า รัฐบาลวิตกว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าว จะกลายเป็น "เงื่อนไขในการที่ฝ่ายตรงข้ามจะนำไปอ้าง" มาก คุณอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้เป็นนโยบายของรัฐ และกำชับมิให้หน่วยงานในพื้นที่ปฏิบัติงานโดยละเมิดสิทธิมนุษยชน
เป็นอันว่ารัฐบาลไม่เกี่ยว แม้จะมีข้อวินิจฉัยว่าการละเมิดกระทำกัน "อย่างเป็นระบบ" ก็ตาม คุณอภิสิทธิ์เพียงแต่พยายามแสดงให้เห็นว่า ตัวคุณอภิสิทธิ์เองไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีที่เกิดขึ้นนี้ "ผมติดตามเรื่องนี้ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งผมได้ส่งคนไปคุยกับองค์กรดังกล่าวแล้ว เวลานี้ก็ได้รายชื่อบุคคลที่จะพบแล้ว ตั้งใจว่าจะพบเร็วๆ นี้"
องค์กรนิรโทษกรรมสากลกล่าวอย่างชัดแจ้งในรายงานการวิจัยว่า พยายามปิดบังพยาน นอกจากไม่บอกชื่อแล้ว ยังไม่บอกชื่อตำบลหมู่บ้านหรือแม้แต่ค่ายทหารที่ถูกนำไปทรมานด้วย เพราะไม่แน่ใจในความปลอดภัยของคนเหล่านั้น โดยไม่ได้มีท่าทีแข็งขันเอาจริงเอาจังกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เช่นไม่ได้ตั้งกรรมการที่มีอำนาจขึ้นสอบสวนกองทัพ และพร้อมจะลงโทษทหาร (และตำรวจ) ที่ทำผิด องค์กรนิรโทษกรรมสากลจะวางใจในความปลอดภัยของเหยื่อเหล่านี้ได้ จนยอมเปิดชื่อ เพราะนายกรัฐมนตรีขอคุยด้วยเท่านั้นละหรือ
ในที่สุดคดีนี้ก็จะเงียบหายไปเหมือนคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ในขณะที่รัฐบาลลอยนวล เพราะไม่ได้นิ่งนอนใจ ผู้บัญชาการกองทัพและตำรวจลอยนวล เพราะไม่ได้สั่งให้ใครไปทรมานใคร และผู้ลงมือทรมานก็ลอยนวล เพราะไม่มีใครอยากสาวไปถึงต้นตอ
ที่สำคัญ ผู้ปฏิบัติงานในภาคใต้ได้รับสัญญาณผิดๆ (หรือไม่ผิด?) ว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องทำอย่างที่จะลอยนวลได้ทุกฝ่ายต่างหาก เราจะสามารถยุติหรือบรรเทาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ลงได้ด้วยวิธีการเช่นนี้หรือ
ในส่วนช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งองค์กรนิรโทษกรรมสากลชี้ไว้ เช่นอำนาจที่ไร้การตรวจสอบ ทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ซึ่ง พ.ร.ก.ปฏิบัติราชการฯให้ไว้ คุณอภิสิทธิ์กล่าวแต่ว่า "ตรงไหนอาจจะต้องที่มีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงต่อไป" และการต่ออายุการใช้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ในพื้นที่ครั้งหน้า จะต้องให้รายละเอียดความจำเป็นให้ชัดเจนกว่าที่ผ่านๆ มา
ดูจากปฏิกิริยาคุณอภิสิทธิ์และรัฐบาลของท่าน การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องร้ายแรงในตัวมันเอง เพียงแต่ว่าอาจมีผลกระทบทางการเมืองทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเท่านั้น ปัญหาจึงอยู่ที่จะทำให้ผลกระทบนั้นหมดไป หรือเกิดขึ้นแต่น้อยได้อย่างไร และหากจะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกข้างหน้า ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังต่อผลกระทบ
เมื่อรัฐบาลไม่สู้จะสนใจนัก ถามว่าสังคมไทยสนใจต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากน้อยเพียงไร คำตอบอยู่ที่เหตุการณ์ซึ่งเกิดในช่วงเวลาใกล้ๆ กันนี้ มีรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ของอินเดียว่า ชาวโรฮิงญาหลบภัยจากพม่าโดยลอยเรือเข้ามาสู่ชายฝั่งตะวันตกของประเทศไทย หนังสือพิมพ์อินเดียรายงานข่าวว่า กองทัพเรือไทยสกัดไว้ได้ และผลักดันชาวโรฮิงญาเหล่านี้ออกไป โดยหลังเลี้ยงอาหารแล้ว ก็ให้เสบียงและน้ำไปแต่เพียงเล็กน้อย แล้วลากเรือของพวกเขาออกไปสู่ทะเลหลวง กว่ากองทัพเรืออินเดียจะพบเรือของพวกเขา เกือบครึ่งหนึ่งของชาวโรฮิงญาก็เสียชีวิตแล้ว บ้างก็กระโดดทะเลเพื่อไปตายเอาดาบหน้า
ไม่ว่ารายงานข่าวนี้จะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่จำนวนไม่น้อยของจดหมายประชาชนที่มีไปยังรัฐบาลก็คือ กองทัพเรือทำถูกต้องตามหน้าที่แล้ว เพราะประเทศไทยไม่ต้องการรับภาระการอพยพหนีภัยของประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน
โดยสรุปก็คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องร้ายแรงในตัวมันเอง ทั้งแก่รัฐบาลไทยและสังคมไทย
ฉะนั้น ความหวังจึงต้องฝากไว้แก่นักสิทธิมนุษยชนไทยทั้งหลาย ทั้งที่รวมตัวเป็นองค์กรและเป็นเอกชนอิสระ คราวนี้การละเมิดกระทำโดย "รัฐ" ไม่ใช่โดยองค์กรเอกชนซึ่งท่านเหล่านี้เคยอ้างว่ามีอันตรายน้อยกว่ารัฐ จึงไม่สนใจพูดถึง (ในเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2551) ท่านสามารถยุติหรือขัดขวางการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ ซึ่งกระทำโดยรัฐภายใต้พรรคการเมืองที่ท่านยอมรับมากกว่าได้หรือไม่?
หน้า 6
ที่มา : มติชนรายวัน,วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552
Wednesday, November 12, 2008
ฝ่ายที่ขาดหายไปในการสานเสวนา
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
กระบวนการสานเสวนาเป็นกระบวนการที่ใช้ในกรณีของความขัดแย้งสองฝ่าย อันที่จริง ความหมายตามตัวอักษรของคำว่า dialogue คือทวิวัจนา หรือการเจรจาของสองฝ่าย แต่เป้าหมายสำคัญสุดของการสานเสวนาคือ "ฟัง" ทำให้สองฝ่ายที่ขัดแย้งกันได้ "ฟัง" อีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะสิ่งที่ขาดหายไปเสมอในกรณีพิพาทก็คือการฟัง
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของไทยปัจจุบัน แม้ว่าฝ่ายที่ขัดแย้งกันอย่างออกหน้าจะมีสองฝ่าย คือนปช.กับรัฐบาลพรรค พปช.ฝ่ายหนึ่ง และ พธม.กับฝ่ายค้านพรรค ปชป.อีกฝ่ายหนึ่ง แต่ที่จริงยังมีฝ่ายที่สามซึ่งเป็นฝ่ายที่ใหญ่มาก คือประชาชนโดยทั่วไปซึ่งไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ไม่แต่เพียงเป็นฝ่ายที่ใหญ่สุดเท่านั้น กระบวนการสานเสวนาในกรณีใดในโลกก็ตามย่อมพุ่งเป้าไปที่ฝ่ายที่สามนี้เสมอ นั่นคือไม่แต่เพียงสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันได้"ฟัง"กันเท่านั้น ฝ่ายที่สามซึ่งไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็จะได้"ฟัง"ไปด้วย แม้ว่าอาจไม่ได้ฟังโดยตรง แต่ก็ต้องรู้ว่าเนื้อหาหลักคืออะไร (เพราะการเจรจาที่ทำให้"ฟัง"กันได้ดีขึ้นในบางเงื่อนไข อาจควรทำโดยคู่เจรจาเชื่อว่า จะไม่มีใครได้ยินอีกนอกจากฝ่ายที่เข้าร่วมการเจรจา)
เพราะถึงที่สุดของที่สุดแล้ว ฝ่ายที่สามนี้ต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินว่า ทางออกของความขัดแย้งคืออะไร
ในส่วนของคู่ความขัดแย้ง ประเด็นที่ขัดแย้งกันนั้นไม่สู้จะชัดนัก ถ้าจะหาส่วนที่เห็นพ้องต้องกันระหว่างสองฝ่ายอาจจะเห็นได้ชัดกว่า
ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ระบบการเมืองที่เป็นอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ไม่เหมาะสม ฝ่าย พธม.+ปชป.เห็นว่ารัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่เวลานี้ไม่เหมาะสม เพราะมาจากการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต ฝ่าย นปช.+พปช.เห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เหมาะสม เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระบบการเมืองเสียใหม่ ฝ่าย พธม.เห็นว่าต้องใช้ "การเมืองใหม่" ซึ่งยังไม่ชัดเจนโดยรายละเอียดว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ส่วน ปชป.ไม่ชัดเจนในเรื่องนี้นัก ได้แต่คอยโหนกระแสและกระพือไฟความขัดแย้งไปเรื่อยๆ ส่วน นปช.และพปช.(บางส่วน) เห็นว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น
ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ความขัดแย้งที่ปรากฏนี้เป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น ความจริงแล้วมีผลประโยชน์ของคนอื่นชักไยอยู่เบื้องหลัง และหากทำได้ก็อยากจะดึงคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาสู่สนามความขัดแย้งอย่างเปิดเผย
เพราะความเห็นพ้องประการหลังนี่แหละที่ทำให้ความไม่ไว้วางใจระหว่างกันมีสูงยิ่ง เพราะต่างเชื่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีญัตติซ่อนเร้นบางอย่างในข้อเสนอของตนเสมอ ลามไปถึงข้อเสนอของฝ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยก็ถูกมองจากทั้งสองฝ่ายว่า เป็นญัตติแอบแฝงของ "มือที่มองไม่เห็น" แล้วแต่ว่าข้อเสนอนั้นจะถูกใจตัวหรือไม่ จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์ไม่มี "คนกลาง" เหลืออยู่ในสังคมไทย
อันที่จริงความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย เท่าที่เผยให้ปรากฏ เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ นั่นคือแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนระบบการเมืองให้เหมาะสมเท่านั้น ในขณะที่ไม่มีความขัดแย้งเรื่องอื่นปะปนอยู่อีกเลย ทั้งนี้ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ,คนตกงานซึ่งจะเพิ่มขึ้น,ความไม่สงบในภาคใต้ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น,รวมไปถึงอนาคตอีกหลายด้านของสังคมไทยซึ่งไม่มีแววว่าจะจัดการได้ ฯลฯ
และเรื่องอื่นๆ นี่แหละที่ฝ่ายที่สาม คือคนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดสนใจ รวมทั้งเห็นว่ามีความสำคัญเกี่ยวโยงกับชีวิตของเขามากที่สุด แต่ฝ่ายที่สามคือฝ่ายที่ไม่มีปากมีเสียงใดๆ ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเลย (และทำท่าว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสานเสวนาอีกด้วย)
กระบวนการสานเสวนาที่จัดกันขึ้นจึงควรให้ความสนใจแก่ฝ่ายที่สามให้มากขึ้น แม้ใน "คำร้องขอต่อมโนสำนึกของพลเมืองไทยทุกคน" ของสภาพัฒนาการเมือง ก็มุ่งหวังว่าจะสร้างพลังของสังคมโดยรวม "... จนกว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งรับที่จะมาร่วมสานเสวนาหาทางออกให้ประเทศไทยอย่างจริงจัง"
นั่นก็คือยอมรับว่าพลังสังคมเป็นพลังสำคัญที่สุด ซึ่งจะทำให้การสานเสวนาเกิดขึ้นได้
แต่การดำเนินงานที่ปรากฏเป็นข่าวมาจนถึงวันนี้ ดูจะเน้นหนักที่การดึงเอาฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโดยตรง (2+2 คือ 4 ฝ่าย) เข้ามา "สานเสวนา" กัน แทบไม่เห็นการทำงานกับสังคมโดยรวม มากไปกว่าการสัมมนาเปิดตัว และรณรงค์ติดสติ๊กเกอร์ ส่วนการดำเนินการดึงเอาสี่ฝ่ายมา "สานเสวนา" จะประสบความสำเร็จเพียงใดก็ยังไม่แน่นัก เพราะฝ่าย พธม.ตั้งเงื่อนไขแต่แรกว่า การสานเสวนาที่จะยอมรับได้มีเพียงระหว่างฝ่ายตนกับรัฐบาลเท่านั้น
ด้วยท่าทีเช่นนี้ หากเกิดการสานเสวนาขึ้นได้จริง ก็เกรงว่าจะมีแต่การตั้งเงื่อนไขให้แก่กันและกัน มากกว่าการฟังกัน เท่ากับไม่บรรลุเป้าหมายของการสานเสวนา จนกลายเป็นการเจรจาธรรมดาๆ ไม่ใช่การสานเสวนาจริง
ในขณะที่พลังทางสังคมซึ่งหวังว่าจะบีบบังคับให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมการสานเสวนาไม่เกิดขึ้น
สิ่งสำคัญในการเริ่มต้นกระบวนการสานเสวนา จึงไม่ใช่การทำให้ฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้งโดยตรงยอมฟังกันและกัน หากอยู่ที่สร้างเงื่อนไขทางสังคมที่เป็นผลบังคับให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องยอมฟังกันและกันก่อน (เงื่อนไขเช่นนี้ในกรณีความขัดแย้งในประเทศอื่นๆ อาจเป็นมติของชาวโลก,ของมหาอำนาจ,ของสังคมที่เห็นแล้วว่า ความขัดแย้งนั้นไม่นำไปสู่อะไรนอกจากความเสียหายแก่ส่วนรวม,หรือของคู่ความขัดแย้งที่พบว่า ไม่มีทางชนะกันอย่างเด็ดขาดได้ ฯลฯ)
องค์กรที่ร่วมจัดการสานเสวนาในครั้งนี้ จึงควรให้ความสนใจด้านนี้ให้มากขึ้นกว่าการรณรงค์ เพราะผู้คนในสังคมไทยมีปัญหาของตัวเองที่ไม่เกี่ยวอะไรกับความขัดแย้งทางการเมืองอีกมากมาย แต่ปัญหาเหล่านี้กลับถูกละเลยหรือลดความสำคัญในสื่อ ทั้งๆ ที่ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นความเป็นความตายของคนส่วนใหญ่ทั้งสิ้น
การรณรงค์ทางสังคม (หากจะเรียกว่าการรณรงค์) จึงควรออกมาในเชิงรูปธรรมที่มีผลต่อนโยบายสาธารณะด้วย องค์กรร่วมจัดอาจจัดการประชุมโต๊ะกลม,การสัมมนา,การเสวนา ฯลฯ ที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ด้วย เพื่อนำข้อเสนอที่หลากหลายต่างๆ เข้าสู่สังคม ให้มากกว่า"การเมืองใหม่" หรือ "การต่อต้านรัฐประหาร"
ขอยกเป็นตัวอย่างให้ดูบางเรื่อง
ในยามที่เราหลีกหนีผลกระทบทางเศรษฐกิจของวิกฤตการเงินโลกไม่พ้น รัฐน่าจะต้องเข้ามามีบทบาทในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่มต่างๆ มากขึ้น มีเรื่องที่สังคมไทยต้องคุยกันมากทีเดียว เช่นเราควรปรับเปลี่ยนระบบภาษีอย่างไร เพื่อบรรเทาปัญหาและเพิ่มพลังของรัฐในการเข้ามาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนกลุ่มต่างๆ
คงภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 7% ก็มีข้อดีหลายอย่าง แต่มองเรื่องนี้จากสายตาพ่อค้าฝ่ายเดียวซึ่งย่อมต้องการรักษากำลังซื้อของตลาดไว้ อาจทำให้รัฐไม่มีเงินเพียงพอที่จะทำหน้าที่ในยามวิกฤตเศรษฐกิจก็ได้ นักวิชาการสามารถคำนวณผลกระทบของการคงภาษีไว้ที่ 7% หรือเพิ่มถึง 10% ให้เห็นเป็นตัวเลขได้ อันเป็นแนวทางสำหรับการสานเสวนากันระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ผู้บริโภค,นักวิชาการ,นักการเงิน, อุตสาหกร,พ่อค้า ฯลฯ
แม้ไม่อาจสรุปผลอะไรออกมาได้ แต่สังคมโดยรวมจะถูกดึงให้มาสนใจปัญหาอื่นๆ นอกจากความขัดแย้งทางการเมือง
มีปัญหาทำนองนี้อีกมากมายที่สังคมควรได้รับรู้ และร่วมคิด เช่นจะจัดการศึกษากันอย่างไร จึงจะสามารถเพิ่มสมรรถภาพของคนไทยในโลกาภิวัตน์ได้ทันกาล ไม่เฉพาะแต่ในทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่รวมถึงด้านสังคมและวัฒนธรรมซึ่งเปลี่ยนไปอย่างมาก
จะเตรียมการในโลกที่พลังงานฟอสซิลหายากขึ้นได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน,กระแสไฟฟ้า, เชื้อเพลิงเพื่อการผลิต,และเชื้อเพลิงเพื่อการขนส่งคมนาคม
แม้แต่ปัญหาการเมืองก็อาจนำมาคุยกันได้ โดยมีคนหลากหลายกลุ่มเข้าร่วม และนำไปสู่การมองปัญหาการเมืองจากมิติที่หลากหลายกว่าถูก-ผิด
สร้างเวทีของการ"ฟัง"กันและกันขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะทำให้ทุกฝ่ายฉลาดขึ้นหรือรู้จักคิดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นก็คือมองเรื่องเดียวกันจากมุมมองหลายมุมได้
พลังสังคมจะเกิดขึ้นจากการกระทำที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้ ในขณะที่พลังของกลุ่มขัดแย้งก็จะลดลงไปพร้อมกัน จน-กระทั่งกลุ่มเหล่านี้พร้อมจะเข้าร่วมสานเสวนาตามความประสงค์ได้จริง
หน้า 6
ที่มา : มติชนรายวัน,วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
Tuesday, October 28, 2008
ทำไมทักษิณ ทักษิณทำไม
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
คอลัมน์วิภาคแห่งวิพากษ์ในมติชน 22 ต.ค.2551 ตั้งคำถามว่า แม้มีรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.49 พรรคที่เชื่อมโยงกับคุณทักษิณ ชินวัตร ก็ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเหนือคู่แข่งอย่างท่วมท้น และถึงแม้จะเลือกตั้งอีก ชื่อของคุณทักษิณซึ่งหมดสิทธิลงเล่นการเมืองแล้ว ก็จะนำพรรคให้ได้คะแนนนำอยู่ดี
"คำถามก็คือ ระบบทักษิณอันเป็นผลิตผลแห่งระบอบทักษิณสามารถดำรงอยู่เพราะเหตุปัจจัยใด"
ผมอยากเสี่ยงตอบคำถามนี้ ด้วยความรู้และข้อมูลที่ไม่มากพอ แต่ผมคิดว่าเราควรช่วยกันหาคำตอบ แทนที่จะชี้นิ้วบริภาษผู้นิยมคุณทักษิณว่าโง่, โลภ และไร้การศึกษา ผมคิดว่าปรากฏการณ์ "ทักษิณฟีเวอร์" นี้ บางส่วนก็เป็นทางนำไปสู่ความก้าวหน้าทางการเมือง บางส่วนก็นำไปสู่ความเสื่อมทรุดทางการเมือง ฉะนั้นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ให้ถึงแก่น จะมีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางการเมืองไทยแน่นอน
ผมจึงอยากเรียกร้องให้นักวิชาการศึกษาวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง และอยากเรียกร้องให้สำนักงานที่มีเงินสนับสนุนการวิจัยทั้งหลาย ให้ความสนใจแก่เรื่องประเภทนี้ให้มากขึ้น (อย่ามองชนบทแยกออกไปต่างหากจากเมืองและประเทศโดยรวม)
แต่ก่อนที่จะมีคำตอบดีๆ จากนักวิชาการที่ทรงคุณความรู้ ผมขอให้คำตอบตื้นๆ ไปก่อนดังนี้
1/ ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งดีๆ ที่ชาวบ้านจำนวนมากเคยได้รับจากรัฐบาลกลาง ไม่ว่าจะเป็นหลักประกันสุขภาพ ซึ่งแม้ไม่สู้จะมีประสิทธิภาพสูงนัก แต่เขาก็ได้ใช้ประโยชน์ไปตามอัตภาพ ซ้ำเป็นหลักประกันสุขภาพที่มั่นคงพอสมควรด้วย ความลังเลใจและนโยบายที่ไม่ชัดเจนของรัฐบาลซึ่งมาจากการรัฐประหารต่อเรื่องนี้ ยิ่งตอกย้ำ สัญลักษณ์ทักษิณว่าเป็นหลักประกันที่มั่นคงกว่าในเรื่องสุขภาพ
กองทุนประเภทต่างๆ ซึ่งแม้ไม่ทำให้ส่วนใหญ่ของชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ก็ช่วยให้ยืดวงจรของหนี้สินออกไปได้คล่องตัวขึ้น ดีกว่าไม่มีเสียเลย
และนโยบายอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลของคุณทักษิณได้หยิบยื่นทรัพยากรกลางลงไปถึงระดับล่าง อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ชื่อทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นบุคคลาธิษฐานของความใส่ใจต่อประชาชนระดับรากหญ้า ไม่ว่าความเป็นจริงจะเป็นดังนั้นหรือไม่ก็ตาม
2/ คุณทักษิณและพรรค ทรท.เข้าถึงเครือข่ายในชีวิตของชาวบ้าน ได้กว้างขวางกว่าที่นักการเมืองส่วนกลางเคยเข้าถึงมาแล้ว และไม่ใช่เฉพาะเครือข่ายผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว หากรวมถึงเครือข่ายทางสังคมและวัฒนธรรมด้วย เพราะที่จริงแล้วเครือข่ายเหล่านี้แยกออกจากกันได้ยาก (จนเอ็นจีโอในสมัยคุณทักษิณจ๋องไปแยะ จึงกลายเป็นปฏิปักษ์ของพรรคการเมืองที่ตัวเคยสนับสนุนมาก่อน) เครือข่ายเหล่านี้มักผ่านนักการเมืองท้องถิ่นทุกระดับ กลายเป็นฐานเสียงที่แน่นหนาของคุณทักษิณ แม้ไม่มีตัวคุณทักษิณอยู่ในการเมืองไทยอีกแล้วก็ตาม
3/ คุณทักษิณเป็นหัวหน้าพรรคคนแรกที่มีอำนาจต่อรองเหนือนักการเมืองของพรรคอย่างค่อนข้างเด็ดขาด ทั้งเพราะอำนาจเงินและอำนาจความนิยมที่ได้รับจากประชาชน ฉะนั้นคุณทักษิณจึงคุมข้าราชการอยู่ เพราะข้าราชการไม่สามารถฝากตัวกับนักการเมืองอื่นใดไปต่อรองกับนายกฯ ได้ (ข้าราชการในสังกัดของ "วัง" ต่างๆ อาจถูกย้ายได้ หากเจ้าของ "วัง" ไม่เป็นที่ไว้วางใจของคุณทักษิณ)
ฉะนั้นจึงเป็นครั้งแรก (หลังจากที่กองทัพหมดบทบาทปราบคอมมิวนิสต์ลง) ที่ชาวบ้านจำนวนไม่น้อย รู้สึกว่ามีอำนาจต่อรองกับข้าราชการได้มากขึ้น เพราะอย่างน้อยเจ้าพ่อที่หนุนหลังข้าราชการในท้องถิ่นต่างๆ ยังเป็นรองคุณทักษิณทั้งนั้น ชาวบ้านจึงมีอำนาจต่อรองกับข้าราชการได้มากขึ้น เลือดเข้าตาก็ยังจัดกระเช้าดอกไม้เข้าไปให้กำลังใจนายกฯถึงกรุงเทพฯ เพื่อร้องเรียนได้
อำนาจต่อรองนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนในชนบทนะครับ ในขณะที่คนชั้นกลางในเมืองอาจไม่รู้สึกอะไร เพราะถือว่าตัวสามารถต่อรองผ่านสื่อได้โดยสะดวกอยู่แล้ว
4/ คุณทักษิณเป็นผู้มีบุคลิกถูกใจชาวบ้านกว่านักการเมืองใดๆ ที่เราเคยมีมา "ทัวร์นกขมิ้น" ที่นายกฯนุ่งผ้าขาวม้าลงไปห้องน้ำนั้น สื่อลงภาพทุกฉบับ และเป็นภาพที่น่าประทับใจแก่ชาวบ้านว่าท่านนายกฯใช้ชีวิตปกติเหมือนตนเอง แต่ภาพถ่ายนี้จะไม่ให้ใครถ่ายได้เลยก็ได้ เพราะมีทหารตำรวจล้อมรอบอยู่แล้ว แค่กันให้ถอยออกไปเสียก่อนก็ได้ ฉะนั้นจึงเป็นภาพที่คุณทักษิณตั้งใจจะให้ถ่ายรูป และเผยแพร่
ยังไม่พูดถึงคำพูดคำจา และวัตรปฏิบัติอีกหลายอย่างที่น่าประทับใจแก่ชาวบ้าน เช่นช็อปปิ้ง, กินก๋วยเตี๋ยว, รักลูกเมีย ซื้อของแล้วไม่ต้องทอน ฯลฯ
ทั้งหมดนี้จะพูดว่าคุณทักษิณเก่งด้านการตลาดก็ได้ แต่เป็นตลาดการเมืองนะครับ ไม่ใช่ตลาดโทรศัพท์มือถือ นายกฯที่เราเคยมีมาหลายคนก็เก่งด้านการตลาดการเมืองเหมือนกัน (เช่น คุณชาติชาย ชุณหะวัณ) แต่ผมคิดว่าเก่งไม่เท่าคุณทักษิณ ทั้งเป็นความเก่งที่เหมาะกับตลาดล่างมากกว่าตลาดบนเสียด้วย
คงอีกนานกว่าเราจะมีนักการเมืองที่เก่งการตลาดระดับตลาดล่างอย่างนี้อีก
5/ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมในสมัยคุณทักษิณดีขึ้น จะดีขึ้นเพราะฝีมือหรือเพราะเฮงก็ตามเถิดครับ ในทุกวันนี้ ผมยังเห็นแผงและรถขายของในตลาดติดสติ๊กเกอร์ "คิดถึงทักษิณ" อยู่ แม้ว่าสีจะซีดลงไปมากแล้ว ผมเคยคุยกับแม่ค้าขายกล้วยแขกที่ตลาดใกล้บ้าน เธอบอกว่าเธอติดสติ๊กเกอร์นี้เพราะรู้สึกอย่างนี้จริงๆ เนื่องจากเธอขายกล้วยแขกได้ดีในสมัยคุณทักษิณ อยากให้สภาพอย่างนั้นกลับมาอีก
หลังสมัยคุณทักษิณ เศรษฐกิจก็ไม่ได้เลวลงทันที แต่คนรู้สึกว่าไม่ดีเท่าสมัยคุณทักษิณ อาจเป็นเพราะนักการเมืองไม่เก่งด้านการตลาดเท่าก็ได้ เศรษฐกิจสมัยคุณทักษิณจะดีสักแค่ไหนก็ตาม แต่รัฐบาลคุณทักษิณรู้จักทำให้คนรู้สึกว่าดีจังเลย ซึ่งทำให้คนกล้าจับจ่ายใช้สอย
ในขณะเดียวกัน สภาพทางสังคมก็ถูกทำให้คนรู้สึกว่า "ดีจังเลย" เหมือนกัน ไม่ว่าการทำสงครามกับยาเสพติด, การลดอิทธิพลของเจ้าพ่อ, ฯลฯ สภาพเหล่านี้คงถูกขยายด้วยเทคนิคการตลาดเหมือนกัน แต่ก็ได้ผล ทางการเมืองก็ไม่มีอะไรอึมครึมให้ต้องวิตกห่วงใย
คุณทักษิณมาเสียท่าตอนความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ เพราะไม่มีเทคนิคการตลาดอะไรจะช่วยได้ เมื่อโรงเรียนถูกเผาและระเบิดถูกจุดทุกวันอย่างนั้น แม้กระนั้น คุณทักษิณก็สามารถยืนหยัดอยู่บนความล้มเหลวในภาคใต้มาได้ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นอยู่นั่นเอง เพราะวิธีบรรเทาผลกระทบทางการเมืองนานาชนิดที่คุณทักษิณใช้ นับตั้งแต่พับนกไปโปรย, ตั้งกรรมการสมานฉันท์, ส่งรองนายกฯ ไปศึกษาเพื่อทำข้อเสนอแนะ, ฯลฯ กลายเป็นเรื่องเฉพาะพื้นที่มากกว่าเป็นปัญหาของสังคมไทยทั้งหมด
เพราะไม่ได้ลงไปศึกษาจริง ผมก็ได้แต่คำตอบที่ใครๆ ก็คงคาดเดาได้อยู่แล้ว แต่ปัญหานี้สำคัญ และอย่างที่กล่าวข้างต้น คือต้องการความรู้ที่ได้จากการศึกษาจริง เพราะมีประโยชน์แก่สังคมอย่างแน่นอน
หน้า 6
ที่มา : มติชนรายวัน,วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11188
Monday, October 20, 2008
ทางเลี่ยงปัญหา
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน, วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11181
ผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นว่า ท่านอาจารย์ประเวศ วะสี เขียนบทความ "ทางออกจากวิกฤต" อย่างสุจริตใจ ไม่ได้เคลือบแฝงเป้าหมายทางการเมืองอื่นใด มากไปกว่าพยายามจะชี้ทางไปสู่ความสุขสงบในสังคม อีกทั้งผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ เหมือนกันว่า ท่านอาจารย์ประเวศเป็นผู้ทรงธรรมความรู้เหนือกว่าผมด้วยประการทั้งปวง
แม้กระนั้น ผมก็ยังรู้สึกจำเป็นต้องกราบเรียนความเห็นแย้งของผมให้ปรากฏ อย่างน้อยก็เพื่อให้ท่านได้ทราบว่า คนธรรมดาสามัญอย่างผมอาจเข้าใจคำพูดของท่านในกรณีนี้ผิดไปได้อย่างไร เพื่อท่านจะได้ใช้ในการขยายความให้แก่ "ทาง?ออกจากวิกฤต" ที่ท่านอาจเสนออีกในอนาคต
ผมขออนุญาตกราบเรียนความเห็นของผมดังนี้
1/ ท่านอาจารย์เสนอทางออกว่าเป็นไปได้สองทาง คือทางสันติและทางรุนแรงนองเลือด
ในทางสันติ ถ้ารัฐบาลและรัฐสภาหมดความสามารถในการแก้วิกฤต ท่านอาจารย์เสนอว่าควรขอเข้าเฝ้าฯ และกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เพื่อเปิดช่องว่างให้ทรงเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
แสดงว่ารัฐธรรมนูญก็ยังคงอยู่ ปัญหาก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงทำอะไรได้มากไปกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้หรือ หากคำแนะนำที่พระราชทานไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ก็ต้องโฆษณาว่า เป็นคำแนะนำพระราชทาน จะดีต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือ หากผู้เข้าเฝ้าฯนำเอาพระราชวินิจฉัยที่พระราชทานเป็นการภายในมาแสดงต่อสาธารณะ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะต้องทรงรับผิดชอบต่ออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่รัฐบาลและรัฐสภาปฏิบัติตามคำแนะนำที่ได้รับพระราชทานมาหรือไม่ อย่างไร และเพียงใด หากเป็นเช่นนั้น จะดีแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยยุคปัจจุบันนี้แน่หรือ
ในทางรุนแรงนองเลือด เมื่อกองทัพไม่มีทางเลือกอื่น ก็จำเป็นต้องเข้ามายึดอำนาจ แต่ท่านอาจารย์เสนอว่า ควรเข้ามายึดอำนาจในระยะสั้นที่สุด แล้วก็ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี
คำถามที่เกิดแก่ผมทันทีก็คือ นายกฯพระราชทานนั้นต้องการอำนาจและอิทธิพลของกองทัพในการช่วยประคับประคอง (ด้านตรงข้ามของเหรียญประคับประคองคือควบคุมบังคับบัญชา) หรือไม่
นายกฯพระราชทานนั้นแก้ปัญหาของประเทศได้จริงหรือไม่ คำตอบคงต้องหันกลับไปดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แล้วประเมินเอาเอง
อย่างไรก็ตาม หากคิดด้วยวิธีคิดแบบพระพุทธศาสนาอย่างที่ท่านอาจารย์สอนไว้ คือคิดเชื่อมโยง ไม่มองอะไรโดดๆ โดยไม่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับปัจจัยแวดล้อมอันสลับซับซ้อน คนที่จะเป็นนายกฯพระราชทานย่อมมีความเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ของสังคม แต่ถึงอย่างไรก็เชื่อมไม่หมด เช่น ไม่ได้เชื่อมกับนักการเมืองและพรรคการเมือง จะเป็นไปได้หรือสำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน ที่จะกันนักการเมืองและพรรคการเมืองออกไปจากการเมือง ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงการไม่เชื่อมโยงกับกลุ่มประชาชนอีกมากที่เกิดสำนึกทางการเมืองขึ้นแล้ว โดยเฉพาะในชนบท
ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงความเชื่อมโยงซึ่งบุคคลอันเป็นนายกฯพระราชทานมีอยู่ แม้ว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์เที่ยงธรรมสักเพียงไร ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ความเชื่อมโยงในชีวิตที่เขามีอยู่ย่อมกล่อมเกลาโลกทรรศน์ทางการเมืองของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และภายใต้บรรยากาศของ "นายกฯพระราชทาน" คนกลุ่มอื่นๆ ซึ่งไม่ได้เชื่อมโยงกับเขา จะสร้างดุลยภาพแก่โลกทรรศน์ทางการเมืองของเขาได้อย่างไร
มีข้อน่าสังเกตในคำแนะนำของท่านอาจารย์ด้วยว่า ไม่ว่าทางออกจะเป็นไปโดยสันติหรือรุนแรงนองเลือด ในที่สุดก็ต้องมาลงเอยที่การแทรกแซงโดยสกรรม (active intervention) ของสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกที ผมคิดว่าเราปฏิเสธความสำคัญของสถาบันนี้ในสังคมไทยไม่ได้ (ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ก็ตาม) ฉะนั้น จึงปฏิเสธการแทรกแซงไม่ได้เช่นกัน แต่การแทรกแซงที่เป็นคุณคือการแทรกแซงในลักษณะอกรรม (passive intervention) เช่น การพระราชทานคำเตือนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แม้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพระบรมราโชวาทเรื่องนี้ ก็ไม่น่าปฏิเสธว่าเป็นหนึ่งในการถ่วงดุลความโน้มเอียงของชนชั้นนำทางเศรษฐกิจไทย ที่อ้างปรัชญาเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ (อันไม่มีลักษณะปรัชญาแต่อย่างใด) เพื่อเอาเปรียบสังคมและเอาเปรียบผู้อ่อนแอ
2/ ผมขออนุญาตพูดถึงกองทัพบ้าง ดูเหมือนท่านอาจารย์เคยเสนอไว้ก่อนแล้วว่า ทหารควรเข้ามารักษาความสงบแทนตำรวจซึ่งไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนแล้ว
ผมคิด (ซึ่งอาจผิดว่า) การมองกองทัพเป็นสถาบันโดดๆ ที่ไม่เชื่อมโยงกับสิ่งอื่นๆ ในสังคม จึงสามารถทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย (อันไม่ใช่การรบ แต่สลับซับซ้อนกว่านั้นมาก) ได้อย่างอิสระและเที่ยงธรรม คติเช่นนี้จะอยู่เบื้องหลังความคิดของผู้ที่เสนอให้กองทัพออกมาทำโน่นทำนี่ที่เกี่ยวกับการเมืองโดยตรง หรือโดยอ้อม คติอย่างนี้น่าจะไม่ใช่ความคิดที่รู้จักเชื่อมโยงเหตุปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้านของพระพุทธศาสนานะครับ
ทหารมีความสามารถกว่าตำรวจในการรักษาความสงบด้วยวิธีไม่รุนแรงหรือครับ ผมไม่ได้หมายความว่าใครเก่งกว่าใครในเรื่องนี้ (เพราะผมสงสัยว่าไม่เก่งทั้งคู่) ว่าที่จริงทหารไม่ได้ถูกฝึกให้จัดการกับฝูงชนที่ปราศจากอาวุธเลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ทักษะเลย ผมสงสัยว่าแม้แต่เครื่องมือก็ไม่มี
ประสบการณ์ของสังคมไทยที่ผ่านมา กองทัพมีวิธีจัดการกับฝูงชนได้สองวิธี คือเปิดทางให้ฝูงชนเข้าล้อมทำเนียบรัฐบาล เมื่อฝูงชนนั้นเป็นพันธมิตรทางการเมืองของตน ผมนึกถึงเมื่อครั้งที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งให้เปิดทางแก่ผู้เดินขบวนคัดค้านการเลือกตั้งสกปรก เมื่อ พ.ศ.2500 หรือการชุมนุมเชียร์นายกฯ ที่กองทัพหนุนหลังหลายครั้งหลายหน
ในทางตรงกันข้าม หากฝูงชนเป็นปฏิปักษ์ทางการเมือง กองทัพก็จะเลือกใช้วิธีรุนแรงนองเลือด และได้ทำเช่นนั้นมาหลายครั้งหลายหนแล้วด้วย และอย่าคิดนะครับว่าหากกองทัพเข้ามารักษาความสงบหรือยึดอำนาจ จะไม่มีฝูงชนที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองต่อกองทัพ แม้แต่กลุ่มพันธมิตรเองเวลานี้ ก็อาจเลือกที่จะฝ่าฝืนคำสั่งบางอย่างของกองทัพได้ ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงกลุ่ม นปก.และอื่นๆ อีกมาก
แล้วกองทัพจะจัดการกับฝูงชนเหล่านี้อย่างไรครับ
3/ ที่สุดถึงที่สุดแล้ว หากคิดด้วยวิธีคิดแบบพระพุทธศาสนา คือเชื่อมโยงเหตุปัจจัยต่างๆ อย่างสลับซับซ้อน เราก็จำเป็นต้องคิดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่ใช่องค์กรโดดๆ เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ มีศักยภาพและข้อจำกัดเหมือนองค์กรอื่นๆ ของมนุษย์เช่นเดียวกัน
4/ ทางออกที่ต้องใช้วิธีการนอกหรือปริ่มๆ รัฐธรรมนูญเช่นนี้ จะทำให้คนไทยโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้นได้หรือครับ หรือเราพอใจจะเดินวนเวียนกันอยู่แค่นี้
5/ ผมไม่มีปัญญาพอจะเสนอทางออกรูปธรรมที่รวบรัดและหลุดรอดได้รวดเร็ว แต่ผมไม่คิดว่าสภาพที่เราเผชิญอยู่เวลานี้เป็น "วิกฤต" (คือปัญหาที่ไม่อาจใช้คำตอบเก่าได้อีก) มันเป็นเพียงพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของประชาธิปไตยไทย ซึ่งระบบการเมืองที่มีอยู่ต้องหาทางปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ให้ได้ และแน่นอนรองรับให้ได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงเสียเลือดเนื้อด้วย หากเราทำได้ ประชาธิปไตยไทยจะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง และมีศักยภาพในการปรับตัวต่อไปโดยไม่เสียหลักการของประชาธิปไตยด้วย
ทางออกที่ผมใคร่เสนอจึงไม่ลึกซึ้งอะไรมากไปกว่าอดทนอย่างมีสติ
อดทนต่อผลกระทบในทุกทางที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน มีสติเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า ความรุนแรงทุกรูปแบบ (และผมขอย้ำทุกรูปแบบ) ไม่ใช่ทางออก ในแง่นี้ผมมีความหวัง เพราะสังคมไทยได้พิสูจน์ตนเองว่าปฏิเสธความรุนแรงอย่างแน่นอน เช่น เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ผู้คนไม่เห็นด้วยทั้งกับเป้าหมายและวิธีการที่รัฐบาลใช้ในการสลายฝูงชน ผมคิดว่าสังคมไทยต้องยืนยันเรื่องนี้อย่างหนักแน่นสืบไป คือต้องหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ
ความอดทนนี้จะเป็นไปได้ก็ต้องมีความยุติธรรม เช่น ไม่เฉพาะแต่ฝ่ายตำรวจที่ใช้ความรุนแรง ฝ่ายตรงข้ามกับตำรวจ (หรือมือที่สาม?) ก็ใช้ความรุนแรงเช่นกัน มีประจักษ์พยานให้เห็นได้ชัดเจนทั้งสองฝ่าย สังคมต้องร่วมกันประณามการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะทำโดยฝ่ายใดก็ตาม และผมเชื่อด้วยว่าสังคมไทยก็พร้อมจะประณาม หากสังคมได้รับรู้อย่างยุติธรรมว่า ฝ่ายใดใช้ความรุนแรงบ้าง และใช้ในรูปแบบใด
ฉะนั้น ต้องสร้างเครื่องมือที่ดี กล่าวคือสื่อต้องไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (impartial) ให้ยิ่งกว่านี้ สถาบันทางสังคมต่างๆ ต้องแสดงให้ชัดเจนอย่างไม่เป็นที่เคลือบแคลงว่าไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม ยิ่งสามารถแสดงอย่างประจักษ์ชัดด้วยว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้ก็ยิ่งดี ภาคประชาสังคมรวมทั้งปัญญาชนสาธารณะต้องไม่หลับตาให้แก่ความรุนแรงในรูปแบบอื่นๆ ของทุกฝ่าย และต้องไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (แต่สนับสนุนความคิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ สนับสนุนความคิดกับสนับสนุนฝ่ายไม่เหมือนกัน)
ผมมั่นใจว่า หากสังคมไทยแข็งแกร่งในมติที่ปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบเช่นนี้ แม้ความขัดแย้งยังดำเนินต่อไป สถานการณ์ก็ไม่เลวร้ายไปกว่านี้
ถึงอย่างไรประเทศไทยก็ต้องมีรัฐบาล แม้เป็นรัฐบาลที่บางกลุ่มอาจคิดว่าได้มาโดยไม่ชอบธรรมก็ตาม เพราะมีปัญหาอีกมากที่รัฐบาลหรืออำนาจกลางที่สามารถระดมกำลังของสังคมได้เท่านั้นที่จะเข้าไปจัดการได้ เช่น จะตอบสนองต่อยุทธวิธีของรัฐบาลกัมพูชาต่อปัญหาข้อพิพาทเขตแดนอย่างไร, จะเตรียมตัวเพื่อรับความเสื่อมทรุดด้านการเงินและเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างไร, จะยับยั้งการพล่าผลาญทรัพยากรธรรมชาติของระบบเศรษฐกิจและการเมืองไทยได้อย่างไร ฯลฯ
ชุมนุมกันไปโดยสงบ ตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้หลักประกันไว้ แม้แต่ละเมิดกฎหมายบ้าง ก็ต้องอดทนไปก่อน ในที่สุดสังคมจะเข้ามาตัดสินเอง และจะตัดสินด้วยความฉลาดรอบรู้, เป็นธรรม และโดยสงบ ยิ่งกว่ากระบวนการใดๆ จะสามารถทำได้ด้วย
เป็นเวลาที่เราทุกคนต้องเจริญขันติธรรม ด้วยสติปัญญาและความเมตตาให้มาก รอเวลาให้ทุกอย่างคลี่คลายไปตามครรลองของมัน โดยไม่ต้องผ่านความรุนแรงที่ไม่จำเป็นและไม่แก้ปัญหา แล้วเราทุกคนจะโตขึ้น, เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และมีวุฒิภาวะมากขึ้น พอที่จะปกครองตนเอง
หากใจร้อน เราจะพบแต่ทาง "เลี่ยง" มากกว่าทาง "ออก"
หน้า 6
(www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01201051§ionid=0130&day=2008-10-20)
Monday, September 29, 2008
เจรจานอกโต๊ะ
เจรจานอกโต๊ะ
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ทุกครั้งที่มีการ "เจรจา" ระหว่างกลุ่มที่อ้างว่าเป็นองค์กรเคลื่อนไหวด้วยกำลังอาวุธในภาคใต้ กับกลุ่มที่อ้างว่าสามารถเข้าถึงการวางนโยบายของฝ่ายไทย รัฐและสื่อจะทำสองอย่างเหมือนกัน คือ 1/ ไม่เชื่อว่า กลุ่มที่อ้างว่าเป็นองค์กรนั้น เป็นตัวแทนของความเคลื่อนไหวในภาคใต้จริง และ 2/ คนไทยที่ไปร่วมเจรจานั้น กระทำในฐานะเอกชน รัฐไม่เกี่ยว แล้วก็ไม่ได้แถลงอะไรหลังจากนั้นอีก
จะเจตนาหรือไม่ก็ตาม รัฐส่งสัญญาณแก่กลุ่มที่ทำการเคลื่อนไหวตัวจริงว่า รัฐยังไม่พร้อมจะปรับแก้นโยบายที่เกี่ยวกับภาคใต้ตอนล่าง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายปกครองหรือนโยบายปราบปราม
การ "เจรจา" ถูกให้ความหมายที่แคบไป กล่าวคือหมายเฉพาะมีฝ่ายที่เกี่ยวข้องขึ้นนั่งโต๊ะ พบหน้ากันโดยตรง แล้วต่างฝ่ายต่างก็ตั้งเงื่อนไขต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การหยุดยิงหรือสงบศึกได้ ฉะนั้นฝ่ายที่จะขึ้นไปนั่งโต๊ะได้ จึงต้องเป็นตัวแทนของอำนาจที่แท้จริง ตกลงอะไรกันไว้ ก็สามารถปฏิบัติได้จริงในภาคสนาม
ในสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดปัจจุบัน การ "เจรจา" ในความหมายนี้ อาจไม่มีวันเกิดขึ้นได้เลย ด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองประการ
1/ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปฏิบัติการด้วยกำลังอาวุธของฝ่ายเคลื่อนไหวในภาคใต้น่าจะมีองค์กรจัดตั้ง เพราะสามารถหาอาวุธจากแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปล้นปืนจากฝ่ายไทย ซ้ำเป็นอาวุธที่ร้ายแรงด้วย แสดงว่าต้องมีแหล่งเงินทุนซึ่งไม่ทราบชัดว่าได้จากที่ใด (เรี่ยไร, เก็บภาษี, แหล่งทุนภายในหรือนอกประเทศ, ค้ายาเสพติด, เก็บค่าคุ้มครอง, ฯลฯ หรือทุกอย่างรวมกัน) นอกจากนี้ยังมีเส้นสายพอที่จะส่งคนอย่างน้อยจำนวนหนึ่งออกไปฝึกการรบนอกประเทศ และสามารถประสานการปฏิบัติการในพื้นที่ระดับเมืองใหญ่ของจังหวัดได้
แต่องค์กรจัดตั้งอาจไม่ได้มีองค์กรเดียว และแม้องค์กรปฏิบัติการจะถูกแบ่งย่อยออกไปมากเท่าใดก็ตาม อาจเป็นได้ว่าไม่มีแม้แต่องค์กรรวมศูนย์ที่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ที่เป็นเอกภาพได้
มีเหตุผลที่จะสงสัยเช่นนี้ได้หลายทาง ความจำเป็นที่จะต้องปิดลับ ทำให้ต้องแยกหน่วยบังคับบัญชาให้เล็กมากๆ และเชื่อมโยงกันน้อยที่สุด ทำให้แต่ละหน่วยมีความเป็นอิสระต่อกันสูง จึงง่ายที่จะเกิดความแตกแยก เพราะแต่ละหน่วยต่างเป็นอำนาจสำเร็จในตัวเอง ประสบการณ์ของความเคลื่อนไหวชาวมุสลิมในตะวันออกกลาง ชี้ให้เห็นว่า หน่วยเคลื่อนไหว (ซึ่งมีชื่อกลุ่มที่หลากหลาย) ล้วนเป็นอิสระต่อกัน และปฏิบัติการตามแนวทางของตนเอง ดูเหมือนจะเกื้อกูลกันเอง แต่ก็ขัดแย้งกันในตัวด้วย เพราะปฏิบัติการหลายอย่างไม่เป็นผลดีแก่เป้าหมายระยะยาวของอีกกลุ่มหนึ่งเป็นต้น ซ้ำยังเกิดแตกแยกถึงจับอาวุธเข้าประหัตประหารกันเอง (เช่นในปาเลสไตน์) ก็มี แม้ในประเทศไทยเอง การเคลื่อนไหวของชาวมลายูมุสลิมในอดีต ก็เคยขัดแย้งถึงกับใช้อาวุธเข้าต่อสู้กันมาแล้ว
ที่จริงแล้ว กองทัพแห่งชาติที่งอกออกมาจากสงครามกองโจรในการปฏิวัติกู้ชาติของหลายประเทศ (นับตั้งแต่ไอร์แลนด์ถึงอุษาคเนย์) ก็มักมีขุนศึกครองอำนาจอยู่ในพื้นที่เฉพาะของตน แม้ยอมรวมตัวอยู่ในกองทัพแห่งชาติเดียวกันก็ตาม
ในกรณีของกองทัพแดงซึ่งสามารถรักษาเอกภาพไว้ได้สืบมา พรรคคอมมิวนิสต์จะเน้นความสำคัญของการประสานงานระหว่างหน่วยย่อยในท้องถิ่นอย่างมาก การประชุมสมัชชากระทำกันมาก่อนที่พรรคจะได้อำนาจรัฐ ยังไม่พูดถึงสมาชิกโปลิตบูโรซึ่งต้องเดินทางออกตรวจเยี่ยมหน่วยต่างๆ อยู่เสมอ และการอบรมเชิงอุดมการณ์ซึ่งทุกหน่วยต้องทำด้วยตำราที่พรรคเห็นชอบ
แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นเหตุให้ฝ่ายรัฐสืบจับ และ/หรือทำลายสายโยงใยของพรรคได้ แต่ก็เป็นความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในกรณีของการเคลื่อนไหวในภาคใต้ 6-7 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายรัฐไม่อาจตรวจจับสายโยงใยเหล่านี้ได้เลย... จะประชุมปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์กันโดยฝ่ายรัฐไม่ระแคะระคายเลยเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่ว่าองค์กรจัดตั้งประกอบด้วยคนจำนวนน้อยมากๆ แต่หากเป็นเช่นนั้น จะบังคับบัญชาและดำเนินยุทธวิธีอย่างไรให้เป็นเอกภาพ
ฉะนั้นจึงหาตัวแทนของอำนาจที่เป็นเอกภาพไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวว่ากลุ่มที่ขอเจรจาหรือยอมเจรจาเป็นหรือไม่เป็นตัวแทนที่แท้จริง เพราะถึงเป็น ก็มิได้หมายความว่าจะสามารถแทนผู้ปฏิบัติการได้ทุกกลุ่ม
แท้ที่จริงแล้ว ความไม่พอใจรัฐไทยของกลุ่มต่างๆ ได้สั่งสมมานานแล้ว ไม่ว่ากลุ่มเหล่านั้นจะร่วมกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบันหรือไม่ (และร่วมอย่างสกรรมหรืออกรรม active-passive) ถ้าคนเหล่านั้น ได้บอกให้รู้ว่าเขาไม่พอใจเรื่องอะไรบ้าง ก็นับว่าเป็นประโยชน์แก่รัฐอย่างแน่นอน
2/ สถานการณ์จนถึงทุกวันนี้ ไม่สุกงอมให้แก่การเจรจาแบบนั่งโต๊ะ เพราะตามปกติแล้ว การ "เจรจา" จะเกิดขึ้น (ไม่ว่าจะมีคนกลางเป็นผู้เชื่อมประสานหรือไม่) ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายคิดว่าตัวอยู่ในสถานการณ์ที่อาจต่อรองกันได้บนโต๊ะ ทั้งนี้ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ไม่มีใครอยากเสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น แต่สถานการณ์ในประเทศไทยขณะนี้ไม่อยู่ในสภาพดังกล่าว รัฐไทยไม่มีท่าทียอมรับการแยกดินแดนออกจากประเทศไทยได้ อันเป็นเงื่อนไขที่อาจไม่ใช่เป้าประสงค์แท้จริงของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ตั้งให้สูงไว้สำหรับการต่อรอง ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจำเป็นต้องร่นถอยจนปฏิบัติการไม่ได้
เราต่างคิดเหมือนกันว่า ในระยะยาวแล้ว จะจัดการให้ถือไพ่ใบเหนือกว่าได้ ฉะนั้นอย่าพึงหวังว่าจะมีการ "เจรจา" บนโต๊ะที่ใดในโลกนี้ ซึ่งสามารถยุติความรุนแรงลงได้ฉับพลัน
แต่การ "เจรจา" เป็นสิ่งจำเป็น และมีประโยชน์ หากเราไม่จำกัดความการ "เจรจา" ให้แคบเหลือเพียง การได้พบปะพูดคุยกันบนโต๊ะเท่านั้น
เป็นปรกติธรรมดาเช่นกันที่ ในความขัดแย้งใดๆ ทั้งสองฝ่ายต้องพยายามส่งสัญญาณแก่กัน ไม่โดยตรงก็โดยอ้อมหรือโดยท่าที แท้จริงแล้ว หากวิเคราะห์ปฏิบัติการของฝ่ายเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็จะพบสัญญาณต่างๆ มากมาย ทั้งในใบปลิว, เป้าของการก่อความรุนแรง, และการโฆษณาเกลี้ยกล่อมหาสมาชิกใหม่ ฯลฯ รัฐไทยก็อาจทำอย่างเดียวกัน โดยทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่า รัฐไทยมีนโยบายจะแก้ไขปรับปรุงอะไรบ้าง เพื่อทำให้ประชาชนในพื้นที่ยอมรับว่ารัฐมีความยุติธรรมต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า เฉพาะในกรณีของสามจังหวัด รัฐอาจทำอะไรมากไปกว่านั้นอีกก็ได้ หากจำเป็น เช่นวางหลักสูตรการศึกษาที่มีลักษณะเฉพาะเพื่อเอื้อต่อวัฒนธรรมและระบบเศรษฐกิจที่แตกต่าง เป็นต้น
รัฐสามารถ "เจรจา" ผ่านช่องทางได้หลายทาง นับตั้งแต่การวางนโยบายให้ชัดและนำไปสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ รวมถึงการนั่งโต๊ะเจรจากับกลุ่มต่างๆ ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของความเคลื่อนไหวทางการเมือง
เช่นกรณีการเจรจาที่โบกอร์ บนเกาะชวาเมื่อเร็วๆ นี้ มีข้อเรียกร้องที่ชัดเจน เช่นการใช้ภาษามลายูในพื้นที่ เป็นต้น รัฐไทยควรส่งสัญญาณตอบ อย่างน้อยก็รับไว้พิจารณา หากยอมรับก็ต้องเตรียมการอย่างเป็นรูปธรรมว่าจะเป็นไปได้ในลักษณะใดบ้าง
นี่คือการ "เจรจา" อย่างหนึ่ง คู่เจรจาอาจไม่ใช่คนที่นั่งรอบโต๊ะที่โบกอร์เท่ากับประชาชนจำนวนหนึ่งในภาคใต้ ซึ่งมีความคิดทำนองเดียวกัน สัญญาณสำคัญที่ให้แก่ทุกฝ่ายก็คือ รัฐไทยนั้นพร้อมจะปรับแก้สิ่งต่างๆ เพื่อบรรเทาความไม่พอใจที่ประชาชนมีต่อรัฐ การส่งสัญญาณให้รัฐรู้เป็นช่องทางที่จะแก้ปัญหาซึ่งผู้คนต้องเผชิญอยู่ในชีวิตของเขา ได้ดีกว่าและมีประสิทธิภาพกว่าการจับอาวุธขึ้นเรียกร้อง
ความรุนแรงที่เกิดในภาคใต้เป็นปัญหาของไทย เราจึงควรดำเนินการแก้ไขสิ่งที่ประชาชนเห็นว่าเป็นปัญหาอย่างฉับไว และถูกจุด การส่งสัญญาณของกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนความเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่หรือไม่ จึงมีความสำคัญ เพราะช่วยบอกให้เรารู้ว่าเราควรปรับแก้อะไร ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณกลับไปให้ได้รู้ว่า จุดสูงสุดที่เราจะโอนอ่อนผ่อนปรนนั้นแค่ไหนกันแน่
กลุ่มคนที่เข้าร่วมในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ควรได้รับสัญญาณจากการ "เจรจา" ทางอ้อมเช่นนี้ เขามีหน้าที่ตัดสินใจเองว่า ควรใช้วิธีต่อรองกับรัฐไทยอย่างไร จึงจะได้ผลที่เขาต้องการ ไม่มากก็น้อย
เราสามารถ "เจรจา" กับกลุ่มที่ร่วมในความเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องขึ้นโต๊ะเลย แต่เขาสามารถรู้ได้ว่า เราพูดอะไร ขอเพียงให้เราฟังเขาก่อนเท่านั้น แทนที่จะรีบบอกปัดและปฏิเสธแต่ต้น
หน้า 6
(http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01290951§ionid=0130&day=2008-09-29)
Sunday, September 21, 2008
ปฏิรูปสังคม
วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11153 มติชนรายวัน
ปฏิรูปสังคม
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
น่ายินดีที่ฝ่ายพันธมิตรออกมาปฏิเสธว่า การเมืองใหม่ 70/30 ไม่ใช่เงื่อนไขตายตัว เป็นเพียงข้อเสนอเชิงตุ๊กตาเพื่อการถกเถียงอภิปรายกันเท่านั้น จึงเท่ากับการเปิดประตูให้กว้างขวางแก่ทุกฝ่าย ที่จะเข้ามาช่วยกันคิดและเสนอ เพราะจริงอย่างที่ฝ่ายพันธมิตรกล่าว ขณะนี้สังคมจำเป็นต้องร่วมกัน "ปฏิรูป" อีกครั้งหนึ่ง ต่อจากช่วง 2535-40
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการ "ปฏิรูป" แบบเปิดกว้าง ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการกดดันของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องเป็นบรรยากาศที่ทุกกลุ่มทุกฝ่าย รู้สึกปลอดภัยและอิสระเสรีในการเข้าไปมีส่วนร่วม อันไม่ใช่บรรยากาศของกลางฝูงชนที่กำลังประท้วง (ด้วยเรื่องอะไรกันแน่...ไม่มีใครทราบ)
สภาพการณ์ที่จำเป็น ผมคิดว่ามีอย่างน้อย 3 ประการ
1/ ขออย่ามีกลุ่มใดอ้างว่า เป็นตัวแทนของ "ประชาชน" เลย ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งหรือได้รับอาณัติจากสังคม ขอให้เข้าใจด้วยว่า อาณัตินั้นไม่ได้เด็ดขาดในทุกเรื่อง แต่จำกัดเฉพาะนิติบัญญัติ อีกทั้งต้องใช้กระบวนการที่ประชาชนอาจมีส่วนร่วมได้ตลอดเวลาด้วย ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุม, จัดสัมมนา-เสวนา, แถลงการณ์ของสหภาพหรือนักวิชาการ ฯลฯ ก็ล้วนเป็นความเห็นของผู้ลงนามเท่านั้น เสนอขึ้นเพื่อให้สังคมได้รับไปพิจารณา
ไม่ควรที่กลุ่มใดจะไฮแจ๊คความปกติสุขของสังคม, หรือไฮแจ๊คทำเนียบรัฐบาล, รัฐสภา, ท้องถนนอย่างถาวร ฯลฯ เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองให้รับความเห็นของตน มิฉะนั้นก็จะไม่คืนตัวประกัน
2/ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดว่าให้คนดีปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่เพราะคำพูดนี้ผิด แต่เป็นภูมิปัญญาที่ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไร พูดเมื่อไรก็ถูกเมื่อนั้น แต่เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่ใครจะรู้แน่ว่าใครคือคนดี แม้แต่ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าดี ก็อาจผันแปรเป็นไม่ดีไปได้เมื่อเงื่อนไขชีวิตเปลี่ยนไป เช่นมีอำนาจและลูกน้องที่จะต้องเลี้ยงดู หรือถึงจะเป็นคนดีแต่ไม่มีฝีมือในการบริหาร ก็ไม่ทำให้เกิดผลดีแก่ส่วนรวม
ที่ต้องใช้ปัญญาอย่างแท้จริงคือ กระบวนการอะไรจึงทำให้คนดีและมีฝีมือ ได้ปกครองบ้านเมือง และดำรงความดีกับฝีมือของตนไว้ได้ตลอดไป คำตอบของนักปราชญ์ฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ ต้องเปิดให้แก่การตรวจสอบของสาธารณชนอย่างกว้างขวาง ทั้งในระบบ (รัฐสภา, องค์กรอิสระ, คณะกรรมการประเภทต่างๆ, อำนาจที่คานกันเองได้ทั้งในระนาบเดียวกันและต่างระนาบ ฯลฯ) และนอกระบบ (การประท้วง, สื่อ, ความเคลื่อนไหวทางการเมือง, เศรษฐกิจและสังคมที่อิสระเสรี, การแสดงออกทางวัฒนธรรม ฯลฯ)
หากที่ผ่านมา เราไม่อาจขจัดคอร์รัปชั่น, ความไร้สมรรถภาพ, เผด็จการทางรัฐสภา ฯลฯ ได้ ก็ควรหันมาทบทวนกลไกการตรวจสอบ และสร้างกลไกและหลักประกันในการตรวจสอบให้เป็นจริง
ร้ายยิ่งไปกว่านั้น การใช้หลักการที่ไร้เดียงสาเช่นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ "ปฏิรูป" ยังอาจนำไปสู่การแสวงหาคนดีที่หลุดไปจากการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดของสาธารณชนด้วย เช่นข้อเสนอให้แต่งตั้ง ส.ส.หรือบุคคลสาธารณะ หรือการยกอำนาจทั้งหมดให้แก่คณะบุคคลที่ประชาชนไม่อาจตรวจสอบได้เลย (เช่นกองทัพ, องคมนตรี, ตุลาการ, นายกฯคนนอก ฯลฯ) ในการเลือกสรรคนดีเข้ามาดำรงตำแหน่ง
น่าประหลาดที่เขาเรียกการรอนอำนาจประชาชนเช่นนี้ว่า "ประชาภิวัฒน์"
ไม่แต่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ข้อเสนอประเภทภูมิปัญญาที่ไม่ต้องใช้ปัญญาเช่นนี้ยังมาจากทุกฝ่าย เช่น รัฐบาลแห่งชาติ (ประหนึ่งคำว่าแห่งชาติคำเดียวจะทำให้ทุกอย่างดีเอง), สุมหัวกันแก้รัฐธรรมนูญในหมู่นักเลือกตั้ง (ประหนึ่งว่านักเลือกตั้งมีคุณสมบัติในการร่างรัฐธรรมนูญดีกว่านักรับแต่งตั้ง), งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ฯลฯ
อันที่จริง ในการ "ปฏิรูป" ใครจะเสนออะไรที่ไร้เดียงสาหรือเห็นแก่ตัวเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น หากมีบรรยากาศที่เปิดกว้าง ปราศจากการไฮแจ๊ค ไม่ว่าจะเป็นไฮแจ๊คทำเนียบ หรือไฮแจ๊ครัฐสภา ดังเช่นข้อเสนอปฏิรูปการเมืองของฝ่ายพันธมิตร หากเป็นข้อเสนอในบรรยากาศปกติธรรมดา สังคมไม่ถูกบังคับขู่เข็ญ ก็จะถูกตีตกไปในเวลาอันรวดเร็ว และไม่มีใครใส่ใจจริงจังอีกเลย
3/ ไม่ควรเริ่มต้นด้วยการจำกัดการ "ปฏิรูป" ให้เหลือเพียงการ "ปฏิรูปการเมือง" เพราะไม่มีการ "ปฏิรูปการเมือง" ใดๆ จะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ หากไม่คิดว่า "การเมือง" เป็นเพียงมิติเดียวของสังคม ยังมีส่วนของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่กำกับความเป็นไปของการเมืองอยู่เสมอ และผมขอเสนอให้เรียกว่า "ปฏิรูปสังคม" เราควรคิดถึงการปฏิรูปที่ดิน, การปฏิรูประบบภาษี, การปฏิรูปการศึกษา, การปฏิรูประบอบปกครอง ฯลฯ ไปพร้อมกัน เพราะความล้มเหลวของการเมืองไทยหลายประการ มาจากเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม และสังคม ไม่ใช่เรื่องการเมืองและนักการเมืองล้วนๆ
ฝ่ายพันธมิตรกำลังเผชิญการท้าทายยิ่งกว่าหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียอีก หากฝ่ายพันธมิตรเชื่อจริงในเรื่อง "การเมืองใหม่" หรือการ "ปฏิรูป" เพราะฝ่ายพันธมิตรเป็นฝ่ายหนึ่ง ซ้ำเป็นฝ่ายสำคัญด้วย ที่จะนำเอาบรรยากาศปกติกลับคืนมาแก่สังคม การสนับสนุนของประชาชนส่วนที่ได้รับอยู่เวลานี้ ต้องแสวงหาและรักษาไว้ด้วยมาตรการอื่น ไม่ใช่การประท้วงด้วยท่าที "สงครามครั้งสุดท้าย" เพียงอย่างเดียว เพราะท่าทีนี้ไม่ใช่การเปิดกว้างแก่การ "ปฏิรูป" แต่เป็นการประกาศคำสั่งเด็ดขาดเท่านั้น
พันธมิตรมีความกล้าที่จะยุติการประท้วงด้วยท่าทีนี้หรือไม่ แน่นอนว่าฝ่ายแกนนำต้องเผชิญกับคดีตามกระบวนการยุติธรรม ท่านเหล่านั้นล้วนอ้างว่าไม่ได้ทำผิด และอ้างความเสียสละกล้าหาญมาโดยตลอด ถึงเวลาที่ท่านต้องพิสูจน์คำพูดด้วยการกระทำเสียที
นอกจากนี้ การกลับคืนสู่ภาวะปกติ ย่อมหมายถึงการ "รณรงค์" ในลักษณะอื่นที่ไม่ใช่ "สงครามครั้งสุดท้าย" ด้วย เช่นการอภิปรายโต้แย้งกันบนเวทีที่ทุกความเห็นไม่ถูกคุกคาม คำถามคือท่านเหล่านั้นมี "กึ๋น" จะทำได้หรือไม่ หรือเหลือ "กึ๋น" ที่จะทำได้หรือไม่
หากฝ่ายพันธมิตรไม่อาจทำได้ทั้งสองอย่างนี้ การ "ปฏิรูป" ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นตามแนวทางที่ฝ่ายแกนนำเป็นผู้เสนอ สิ่งที่น่าเสียดายไม่ใช่ข้อเสนอของแกนนำ แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือแรงหนุนที่ผู้คนจำนวนมากให้แก่พันธมิตร ไม่ได้ถูกแปรไปใช้ในทางที่จะนำประเทศให้หลุดออกจาก "ระบอบทักษิณ" จริง แม้คนที่ชื่อทักษิณอาจไม่มีทางกลับมาสู่การเมืองไทยตลอดไปก็ตาม ("ระบอบทักษิณ" อาจมีนายกฯชื่อ สมชาย, ชวน, อภิสิทธิ์, สุรพงษ์, จำลอง, สนธิ, หรือสุรยุทธ์, อนุพงษ์ ฯลฯ ก็ได้)
และเมื่อมองสภาพกว้างกว่าฝ่ายพันธมิตรก็เป็นไปได้ด้วยว่า ไม่มีแรงหนุน "การปฏิรูปสังคม" อย่างจริงจังในสังคมไทยในช่วงนี้ ซึ่งแปลว่าเราต้องเผชิญการเมืองน้ำเน่าเช่นนี้ต่อไป จนกว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงเสียก่อน สังคมไทยโดยรวมจึงจะเห็นความจำเป็น
เวลาที่ต้องเสียไปนี้ก็ตาม ความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งน่าเสียดายทั้งนั้น
หน้า 6
(http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01220951§ionid=0130&day=2008-09-22)