Showing posts with label ประเวศ วะสี. Show all posts
Showing posts with label ประเวศ วะสี. Show all posts

Wednesday, November 12, 2008

มหาสยามยุทธ



โดย  ประเวศ วะสี

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์, 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 

 

ผมตั้งชื่อเลียนมหากาพย์ "มหาภารตยุทธ" ของอินเดีย ซึ่งเป็นเรื่องราวสงครามใหญ่ระหว่างพี่น้องครูบาอาจารย์ รวมทั้งแม้พระกฤษณะก็ยังลงมาเป็นสารถีขับรถรบให้ท้าวอรชุน

ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องคนไทยขณะนี้ซึ่งแบ่งข้างด้วยอารมณ์รุนแรง เป็นฝ่ายรักทักษิณกับฝ่ายเกลียดทักษิณ ข้างละเท่าไรไม่ทราบแน่ แต่อาจมากกว่าข้างละ 10 ล้านคน จึงน่าจะเป็นความแตกแยกในหมู่คนไทยด้วยกันที่ใหญ่ที่สุดอันอาจนำไปสู่การนองเลือด จึงเรียกการต่อสู้ครั้งนี้ว่า "มหาสยามยุทธ" น่าจะมีผู้วิจัยเก็บข้อมูลบุคคลที่เกี่ยวข้องและเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียด และนำมาประพันธ์เป็นมหากาพย์ เพื่อให้เป็นที่เรียนรู้ใหญ่ของคนไทยทั้งชาติสืบต่อไป

ถ้าเราพยายามมองความขัดแย้งโดยใช้อารมณ์น้อยที่สุดเพื่อให้เห็นทั้งหมด อย่างน้อยทำให้เข้าใจเหตุการณ์ตามความเป็นจริง อย่างมากอาจช่วยให้เห็นทางออก

1.ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

พธม. เป็นการรวมตัวของคนอันหลากหลาย ที่มีอารมณ์ร่วมคือเกลียดทักษิณ โดยที่เห็นว่าทักษิณชอบใช้อำนาจ คดโกง บ่อนทำลายชาติ และจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์

พธม.ใช้การชุมนุมและการสื่อสารด้วยเอเอสทีวีไปสู่คนจำนวนมากเป็นเครื่องมือ มีผู้บริจาคอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ และเงิน เพื่อการต่อสู้อย่างไม่ขาดสาย แกนนำและทหารเอกทั้งหญิงและชายมีความสามารถสูงในการสื่อสารปลุกเร้าอารมณ์ร่วมในอุดมการณ์ของการต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใช้แนวทางการต่อสู้ด้วยสันติอหิงสา แม้จิตใจและวาจายังไม่เท่าสันติอหิงสาของท่านมหาตมะคานธี มีวัตถุประสงค์ในการทำลายระบอบทักษิณ

พธม. เป็นขบวนการต่อสู้อำนาจรัฐที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตัว พ.ต.ท.ทักษิณเอง แม้มีอานุภาพมากสุดๆ ซึ่งจะกล่าวต่อไปถึงกับถอยร่น ดังที่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถูกตัดสินจำคุกและหลบหนีอยู่ต่างประเทศ จุดอ่อนของ พธม. คือ การเกรี้ยวกราดใส่คนที่เห็นต่างทำให้เสียแนวร่วม คนเกลียดทักษิณมีทั้งที่เป็น พธม. และไม่เป็น อย่างละเท่าไรไม่ทราบแน่ แต่ พธม. เป็นขบวนการจัดตั้งเพื่อการต่อสู้คล้ายกองทัพ

2.ระบอบทักษิณ

ที่เรียกว่าระบอบทักษิณนั้นกว้างขวางใหญ่โตและกินลึก ประกอบด้วย คนรักทักษิณที่เป็นชาวชนบทในภาคเหนือและภาคอีสาน คนจนในเมือง นักการเมืองในพรรคไทยรักไทยเดิมและพลังประชาชน (พปช.) ข้าราชการ นักวิชาการ สื่อมวลชนบางส่วน นักธุรกิจ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการระดับสูง นายทหารนอกราชการ ที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากระบอบทักษิณ ฝ่ายซ้ายบางส่วนที่ไม่นิยมสถาบันและเจ็บช้ำน้ำใจมาจากเหตุการณ์สังหารโหดนักศึกษาเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 จริงอยู่คนรักทักษิณส่วนหนึ่งอาจเกิดจากผลประโยชน์และสินจ้างรางวัล แต่ก็มีคนรักทักษิณด้วยใจจริงและคนมีอุดมการณ์

ตัวคุณทักษิณเองมีมหิทธานุภาพสูงมากและมีเงินมหาศาล แม้ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็สามารถควบคุมสั่งการคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมาก และจัดการการสื่อสารทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เป็นประโยชน์กับระบอบทักษิณ และเป็นโทษกับฝ่ายตรงข้าม เป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียว ที่เมื่อถูกรัฐประหารแล้วระบอบทักษิณก็ยังกลับมาครองอำนาจรัฐอีกได้ สามารถใช้ทั้งทรัพยากรภาครัฐ และทรัพยากรมหาศาลส่วนตัวเป็นเครื่องมือต่อสู้

จุดอ่อนของทักษิณ คือ การมีคดีความเกี่ยวกับทุจริตคอร์รัปชันมากมาย และข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการล่วงเกินจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งอาจอยู่เบื้องหลังการก่อความรุนแรง จุดอ่อนทั้ง 3 ประการนี้ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข จะเป็นบ่อนทำลายความชอบธรรมของระบอบทักษิณ

3. สภาพค้ำยัน ไม่แพ้ไม่ชนะเด็ดขาด

ขณะนี้ เกิดปรากฏการณ์ที่อำนาจต่างๆ ค้ำยันกันหมด ไม่แพ้ไม่ชนะกันอย่างเด็ดขาด และยังไม่มีทางออกชั่วคราว ดังนี้

(1) สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกนำมาเป็นประเด็นในการต่อสู้ ระบอบทักษิณถูก พธม. กล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีและจะทำลายสถาบัน มีการจาบจ้วงสถาบันในขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อก่อนใครถูกคู่ต่อสู้กล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็จะพ่ายแพ้ไปง่ายๆ สมัยนี้ดูเสมือน "หมูไม่กลัวน้ำร้อน"

(2) พธม. ไม่สามารถทำลายระบอบทักษิณได้หมดสิ้น ตัวทักษิณอาจจะถอยร่นเพราะกฎหมาย แต่ระบอบทักษิณยังใหญ่โตกว้างขวางลงรากลึก ในฟิลิปปินส์แม้มาร์กอสจะหมดอำนาจหรือตายไปแล้วแต่ระบบมาร์กอสยังคงอยู่มาตั้ง 20 ปี

(3) ระบอบทักษิณ ไม่สามารถทำลาย พธม.ได้ เพราะเป็นขบวนการที่กว้างขวางใหญ่โตและสังคมปฏิเสธความรุนแรง ระบอบทักษิณไม่สามารถทำลายสถาบันได้ เพราะผู้จงรักภักดีสุดชีวิตมีมาก ในระบอบทักษิณเองก็ใช่ว่าคนรักทักษิณทั้งหมดจะเอาด้วยหากถึงขั้นคิดทำลายสถาบัน และถึงจุดหนึ่งกองทัพก็คงทนไม่ได้

(4) กองทัพ ไม่สามารถทำรัฐประหารได้ สมัยแห่งการทำรัฐประหารผ่านพ้นไปแล้ว รัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ผลในการแก้ปัญหา แต่กลับทำให้ยากลำบากมากขึ้น ถ้าทำรัฐประหาร กำลังประชาชนของระบอบทักษิณก็จะต่อต้าน หากจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามขึ้นมา ระบอบทักษิณก็รวมตัวต่อสู้ได้ทำนองเดียวกับที่ขบวนการ พธม. ต่อสู้กับอำนาจรัฐที่เป็นตัวแทนของทักษิณ รัฐประหาร จึงไม่ใช่คำตอบด้วยประการใดๆ แต่กองทัพทั้งสามเหล่าก็เป็นพลานุภาพสูงสุดของประเทศ ถ้าไม่ทำรัฐประหารก็จะมีบารมีที่อาจช่วยให้ประเทศมีทางออก ดังจะกล่าวต่อไป

ในวิกฤติแห่งการค้ำยันไม่มีใครแพ้ใครชนะชั่วคราวนี้ ถ้าป้องกันอย่าให้เกิดความรุนแรง ก็เป็นโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าในระนาบใหม่ได้

4. ในสภาวะค้ำยันจะทำอะไรกันได้บ้าง

ในสภาพค้ำยันไม่มีใครแพ้ใครชนะอย่างเด็ดขาด และดูเสมือนไร้ทางออกในปัจจุบัน อาจทำได้ดังต่อไปนี้

(1) ก็ต่อสู้กดดันกันต่อไปเพื่อแสวงหาความชอบธรรม แต่ต้องป้องกันความรุนแรง ไม่สร้างประเด็นที่จะเป็นชนวนของความรุนแรง กองทัพต้องทำหน้าที่ป้องกันความรุนแรง รัฐบาลต้องไม่สนับสนุนความรุนแรง ไม่ควรเอาสถาบันมาเป็นประเด็นของการต่อสู้ ทั้งการจาบจ้วงและการกล่าวหา

ควรจัดให้มีการใช้สื่อของรัฐอย่างเสมอภาค ให้สังคมทั้งประเทศได้รับทราบประเด็นและเหตุผลของแต่ละฝ่าย เมื่อสาธารณะเข้ามากำกับ การต่อสู้ก็จะสร้างสรรค์มากขึ้น การแพ้หรือชนะตัดสินกันด้วยความชอบธรรมที่พิสูจน์ต่อสังคม

(2) มองในแง่ดี ในประวัติศาสตร์ของชาติใดชาติหนึ่ง มักจะมีความติดขัดใหญ่ๆ ที่กว่าจะหลุดไปได้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ในสหรัฐอเมริกากว่าจะมามีประธานาธิบดีโอบามา ต้องผ่านสงครามกลางเมืองเรื่องเลิกทาส คนตายไปประมาณ 600,000 คน เวียดนามหลายล้าน เขมรหลายล้าน จีนเป็นสิบล้าน ฯลฯ ใน "มหาสยามยุทธ" ของการเผชิญหน้ากันใหญ่ขนาดนี้ เราคงไม่ต้องฆ่ากันตายเป็นเบือแบบในมหาภารตยุทธ และทำดีๆ อาจมีทางออกโดยไม่มีคนตายมากไปกว่านี้อีกแล้ว ดูให้ดีๆ อาจพบว่าคนไทยเป็นคนที่เจริญกว่าคนชาติอื่นเป็นอันมากก็ได้ ที่มีหัวใจสงสารผู้แพ้ ไม่ชอบการแตกหัก มักประนีประนอม

(3) แต่ละฝ่ายทำอะไรดีๆ แล้วจะมีทางออกเอง เช่น

(ก) ในการดำรงสภาวะเดิม-ไม่รัฐประหาร-ไม่ยุบสภา-ไม่ล้มรัฐธรรมนูญ รัฐบาล พปช. พยายามทำอะไรดีๆ ไม่ทำตัวเป็นนอมินีของใคร เอาชนะใจสาธารณะให้หันมาสนับสนุนรัฐบาลมากๆ รัฐสภารวมตัวกันแก้วิกฤติชาติด้วยวิถีทางรัฐสภา ถ้าจำเป็นก็ต้องตั้งรัฐบาลใหม่ที่แก้วิกฤติชาติได้

(ข) คุณทักษิณ ยุติการเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ส่งสัญญาณให้ พปช. และคนรักทักษิณทำอะไรต่อมิอะไร แต่ให้เขาเป็นอิสระ มีจิตสำนึก มีวิจารณญาณด้วยตนเองที่จะทำอะไรดีๆ คุณทักษิณควรจะเลือกอยู่ในความทรงจำทางประวัติศาสตร์ ว่า เป็นผู้ยุติการประหัตประหารครั้งใหญ่ใน "มหาสยามยุทธ" มากกว่าเป็นผู้จุดชนวนแห่งสงครามกลางเมืองระหว่างพี่น้องคนไทย คุณทักษิณเป็นคนเก่งที่หาได้ยาก หากเจริญสติและเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวเอง (Transformation) อาจถึงขั้นเป็นบุคคลของโลกได้

(ค) ยึดหลักนิติธรรม สังคมใดไม่ยึดหลักนิติธรรมจะเกิดจลาจล ถ้าคิดว่าระบบและกระบวนการยุติธรรมไม่ยุติธรรม ก็ขอให้มีคณะกรรมการที่มีความเที่ยงธรรมขึ้นมาตรวจสอบและรายงานต่อสาธารณะ ไม่พึงคุกคามศาล ระบบความยุติธรรมที่ถูกต้องเข้มแข็งเป็นเสาหลักของอารยะประชาธิปไตย

(ง) ทุกฝ่ายควรหาทางออกที่มีศักดิ์ศรีให้คู่ต่อสู้ ในสงครามเวียดนาม อเมริกาเป็นฝ่ายผิดที่ยกไปรบกับเขาถึงในบ้าน และแพ้สงครามกองโจรในเวียดนาม แต่อเมริกาแพ้เฉพาะสงครามกองโจรเท่านั้น ยังทรงมหิทธานุภาพที่จะบอมบ์เวียดนามให้ราพณาสูร หรือทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ก็ได้ ฉะนั้น เวียดนามทั้งๆ ที่เกลียดอเมริกาแสนเกลียดก็หาทางออกให้อเมริกาอย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อไม่ให้เสียหายมากไปกว่านั้น

เราคนไทยด้วยกัน ถึงอย่างไรๆ ในที่สุดก็ต้องหันกลับมาคืนดี เพื่อทำนุบ้านเมืองร่วมกัน ไม่ควรจะคิดทำลายล้างกันอย่างสุดๆ แต่หาทางออกให้คู่ต่อสู้อย่างมีศักดิ์ศรี

(จ) พธม. มีจุดแข็งอยู่ที่การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐโดยไม่ถูกต้อง สิ่งนี้มีคุณูปการต่อประเทศเหลือหลาย ต่อไปการเมืองจะไม่เหมือนเดิม นักการเมืองจะคอร์รัปชันได้ยากขึ้น เพราะเสี่ยงต่อการติดคุกติดตะราง พธม.ควรอยู่กับจุดแข็งของตัว คือ การตรวจสอบคอร์รัปชัน จะมีคนเข้าร่วมมากเพราะคนส่วนใหญ่รังเกียจคอร์รัปชัน พธม.ควรเปิดกว้างให้มีแนวร่วมมากๆ ลดความแข็งกร้าวลง ผู้กล้าหาญแต่สุภาพจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดความร่วมมือจากมหาชน หาก พธม. ตั้งมูลนิธิที่มีสมาชิกสัก 5 ล้านคนที่บริจาคคนละ 200 บาทต่อเดือน ก็จะมีเงินบริจาคถึงเดือนละ 1,000 ล้านบาท มีกำลังที่จะทำอะไรดีๆ ได้มาก อาทิเช่น ตั้งสถาบันตรวจสอบคอร์รัปชันที่เข้มแข็งสุดๆ พัฒนาระบบการสื่อสารทุกรูปแบบให้คนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึง ฝึกอบรมอาสาสมัครสัก 200,000-300,000 คน ที่ตั้งอยู่ในความสุจริต มีความกล้าหาญ มีความรู้ มีเหตุผล มีน้ำใจเพื่อเพื่อนมนุษย์ รักสันติ เป็นกัลยาณมิตรกับคนทั่วแผ่นดิน เมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่หว่านลงทั่วแผ่นดิน จะไปช่วยให้เกิดความดีงามงอกงามขึ้นทั่วไป แผ่นดินก็จะมีภูมิคุ้มกันที่จำกัดไม่ให้ความไม่ดีแม้จะมีหลงเหลืออยู่ไม่อาจลุกลามก่อให้สังคมเจ็บป่วย ประเทศไทยไม่สามารถไล่ฆ่าเชื้อไม่ดีให้หมดไปจากตัวได้ เพราะตัวจะตายไปกับการไล่ฆ่านั้น การสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศแข็งแรงง่ายกว่าและดีกว่า

(ฉ) ทุกคนทุกฝ่ายทุกกลุ่มร่วมสร้างประชาธิปไตยของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน เราไม่มีทางออกทางอื่นเลยนอกจากระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน เรามีกฎหมายและโครงสร้างรองรับพร้อมแล้ว ขาดแต่ความเข้าใจของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะต่อสู้กันอย่างไรๆ หรือผลของการเผชิญหน้าจะเป็นอย่างไร ในที่สุด ทุกฝ่ายก็จะค้นพบว่าต้องสร้างอารยะประชาธิปไตยหรือประชาธิปไตยของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน บ้านเมืองจึงจะลงตัว เรื่องนี้จะได้แยกกล่าวเป็นต่างหากออกไป

(ช) กองทัพ เมื่อไม่ทำรัฐประหาร ย่อมมีบารมีที่ทุกฝ่ายจะรับฟังมาก ควรชักจูงส่งเสริมให้ทุกฝ่ายทำเรื่องดีๆ เช่นดังที่กล่าวมาข้างต้นทุกข้อ สงครามมหาสยามยุทธ ก็จะกลายเป็นแรงส่งให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความลงตัวและเจริญอย่างแท้จริง ถึงกับเข้าสู่ยุคศรีอาริยะก็ได้

5.วันแห่งการขอโทษอันยิ่งใหญ่-วันแห่งการให้อภัยอันยิ่งยง

(Grand Apology - Great Forgiveness)

เราคนไทยด้วยกัน จะอยู่ด้วยมลพิษทางจิตใจฝังแค้นไปชั่วกัปชั่วกัลป์ไม่ได้ ถ้าเราได้ร่วมกันทำอะไรดีๆ เพื่ออนาคตของเราร่วมกัน จะเกิดความเชื่อถือไว้วางใจกัน (Trust) ความเชื่อถือไว้วางใจกันเป็นทุนอันยิ่งใหญ่ของชาติ ที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน แต่ร่วมกันสร้างได้ด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์

จนถึงวันหนึ่งเราทุกคนมีความมั่นใจและกล้าหาญพอที่จะกล่าวคำว่า "ผมขอโทษ" หรือ "ฉันขอโทษ" คำว่าขอโทษเป็นคำอันยิ่งใหญ่ ที่คนที่มีจิตใหญ่เท่านั้นจะกล่าวได้

เมื่อมีการขอโทษ (Apology) สิ่งที่ตามมา คือ การให้อภัย (Forgiveness) การขอโทษและการให้อภัยจะชำระล้างมลพิษทางจิตใจของทุกคนออกไป เหลือแต่ความใสสะอาดที่จะก้าวไปข้างหน้าร่วมกันด้วยความปีติโสมนัสชาติที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะมีการขอโทษอันยิ่งใหญ่ และการให้อภัยอันยิ่งยงได้

การขอโทษและการให้อภัยจะเปิดพื้นที่ในหัวใจเมื่อพื้นที่ในหัวใจเปิด จะเกิดปาฏิหาริย์ในเรื่องที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

วิกฤติสุดๆ เป็นโอกาสสุดๆ ของคนไทยแล้วที่จะร่วมกันสร้างปาฏิหาริย์ออกจากภพภูมิเก่าๆ อันชำรุดทรุดโทรม ไปสู่ภพภูมิใหม่แห่งการพัฒนาที่เป็นสังคมการเมืองอาริยะประชาธิปไตย-ธรรมาธิปไตย ที่คนไทยจักมีศานติสุขถ้วนหน้าไปชั่วกาลนาน

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์, 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551  

Friday, August 1, 2008

การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคนไทยทั้งมวล

การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคนไทยทั้งมวล



ประเวศ วะสี


คำว่า “ปฏิวัติ” โดยรูปศัพท์แปลว่า การหมุนกลับ ในทางพระพุทธศาสนาใช้ในความหมายไม่ดี คือในท้ายปฐมเทศนา หรือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีความว่า เมื่อพระศาสดาได้กลิ้งพระธรรมจักรให้หมุนไปสู่มวลมนุษย์แล้ว ไม่มีใครจะหมุนกลับ (ปฏิวัติ) ได้ การปฏิวัติฝรั่งเศสกับการปฏิวัติรัสเซียหมายถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองอย่างทันทีทันใด การปฏิวัติรัฐประหารของไทยหมายถึงกองทัพยึดอำนาจทางการเมืองล้มล้างรัฐบาลเก่า หลายคนไม่ยอมเรียกการรัฐประหารว่าเป็นการปฏิวัติ เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิถีคิดและระบบคุณค่า เป็นเพียงเปลี่ยนกลุ่มบุคคลผู้ยึดกุมอำนาจรัฐเท่านั้น

ประเทศไทยพยายามเป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 แต่ไม่สำเร็จ เพราะทำกันแต่ “รูปแบบ” โดยไม่ได้ “ปฏิวัติจิตสำนึกประชาธิปไตย” จิตสำนึกอันคับแคบ+ “รูปแบบ” ได้นำการเมืองไทยสู่สภาวะวิกฤติในปัจจุบัน จิตอันคับแคบคือจิตที่มากอยู่ด้วยตัณหา มานะ ทิฐิ



ตัณหา คืออยากเป็นอยากเอา


มานะ คือการใช้อำนาจเหนือคนอื่น

ทิฐิ คือการเอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่



นี่คือสัตว์ร้ายสามตัวในตัวมนุษย์ ที่ไม่ใช่จิตสำนึกประชาธิปไตย เราเห็นสัตว์ร้ายสามตัวนี้ครองโลกการเมืองไทย เมื่อมีคนมีตัณหาในทรัพย์สินเงินทองมาก แสวงหาความร่ำรวยสุดๆ แล้วเอาเงินทองอันมากมายนั้นมาสนองการใช้อำนาจเหนือคนอื่น (มานะ) และการเอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่ (ทิฐิ) ความเลวร้ายทางการเมืองก็เกิดขึ้นสุดๆ “รูปแบบ” คือการเลือกตั้ง ก็กลายเป็นเพียงเครื่องมือที่กลุ่มคนที่มีจิตสำนึกอันคับแคบใช้ในการเข้าไปสู่การยึดกุมอำนาจรัฐรวมศูนย์ ซึ่งไม่ใช่ประชาธิปไตยโดยสาระ ความไม่เป็นธรรมจึงเกิดขึ้นทั่วไป บ้านเมืองระส่ำระสาย แก้ปัญหาไม่ได้ ขัดแย้ง แตกแยก และเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงนองเลือด เคลื่อนเข้าสู่มิคสัญญีกลียุคมากขึ้นเรื่อยๆ

จึงจำเป็นต้องมีปฏิวัติประชาธิปไตย

และถ้าเป็นการปฏิวัติโดยคนไทยทั้งมวล ไม่ใช่โดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด การปฏิวัติก็จะเป็นไปด้วยสันติวิธี โปรดสังเกตว่าความรุนแรงอาจไม่ใช่การปฏิวัติ แต่สันติวิธีก็เป็นการปฏิวัติได้ ถ้ามีการเปลี่ยนจิตสำนึก เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนระบบคุณค่า เปลี่ยนระบบการปกครอง ถึงเวลาที่คนไทยทั้งมวลทุกหมู่เหล่า ควรมี ความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่จะปฏิวัติประชาธิปไตย

หลักการปฏิวัติประชาธิปไตย

1.ปฏิวัติจิตสำนึกประชาธิปไตย จิตสำนึกประชาธิปไตยเป็นจิตใหญ่ที่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เคารพสิทธิมนุษยชน เคารพความสุจริต ยุติธรรม เคารพประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว มีขันติธรรม มีอหิงสธรรม มีการใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหา มีส่วนร่วมในกิจการของส่วนรวมและทั้งบ้านเมืองด้วยความปรารถนาความถูกต้องเป็นธรรม


จิตสำนึกประชาธิปไตยเป็นรากฐานของประชาธิปไตย กลไกและกิจกรรมทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อการปฏิวัติจิตสำนึกประชาธิปไตย

2.การกระจายอำนาจอย่างทั่วถึง ประชาธิปไตยคือการกระจายอำนาจ เผด็จการคือการรวมศูนย์อำนาจ ระบบการปกครองของไทยคือระบบอำนาจรัฐรวมศูนย์ ในระบบอย่างนี้การเลือกตั้งกลายเป็นพิธีกรรมใช้เงินเป็นอาวุธเพื่อเข้ามาใช้อำนาจรัฐรวมศูนย์ จึงเป็นระบบเผด็จการที่มีการเลือกตั้ง หาใช่ประชาธิปไตยไม่ อำนาจรัฐรวมศูนย์มีความสามารถต่ำในการแก้ปัญหา จึงแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ได้ เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาความอยุติธรรม ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากไร้ประสิทธิภาพแล้ว อำนาจรัฐรวมศูนย์ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งทั่วไป

การปฏิวัติประชาธิปไตย ต้องกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง ถ้าชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิในการปกครองตนเองและป้องกันการเอารัดเอาเปรียบและการจำกัดสิทธิจากส่วนบน ประชาชนจะพ้นจากความยากจนโดยรวดเร็ว

3.สิทธิในการสื่อสารโดยประชาชน ช่วยกันสนใจตรงนี้ให้ดีๆ เพราะนี่คือการปฏิวัติประชาธิปไตย ทุกวันนี้ประชาชนตกเป็นผู้รับสารที่สื่อมาจากภาครัฐและภาคธุรกิจ ทั้งอำนาจรัฐและอำนาจเงินกำหนดการรับรู้ของประชาชน ประชาชนต้องเป็นผู้สื่อสารเองโดยทุกๆ ทาง ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต สิ่งพิมพ์ ที่ด่วนที่สุดคือเครือข่ายวิทยุชุมชนที่ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้สื่อ มีการสังเคราะห์การสื่อสารของประชาชนแล้วนำไปใช้ในทางที่เหมาะสม นี่เท่ากับเป็นการเปิดบทบาทของประชาชนทั้งประเทศ เป็นการปฏิวัติประชาธิปไตย ความชั่วต่างๆ ก็ทำได้ยากขึ้น การมีระบบสื่อสารโดยประชาชนอย่างทั่วถึง จะเป็นการเปิดพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ในระบบเผด็จการพื้นที่นี้ปิด การเปิดพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง จึงเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตย

4.การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางนโยบายในโครงการพัฒนาและในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 87 คือการเมืองภาคพลเมือง ประชาชนมีความชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมายที่จะรวมตัวกันที่จะมีสิทธิมีเสียงในเรื่องนโยบาย เรื่องโครงการพัฒนา และเรื่องตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ

ในบางชุมชนของไทยมีประชาธิปไตยโดยตรงที่ไม่ได้ใช้การเลือกตั้งกล่าว คือมีสภาผู้นำชุมชนที่มาจากผู้นำตามธรรมชาติของกลุ่มต่างๆ ในชุมชน สภาผู้นำชุมชนต้องการรวบรวมข้อมูลชุมชนแล้วทำแผนพัฒนาชุมชนโดยให้ที่ประชุมของคนทั้งหมู่บ้านที่เรียกว่าสภาประชาชน รูปแบบนี้ควรขยายตัวทั้งทางกว้างและในการขึ้นมาสู่ระดับบน สภาผู้นำชุมชนสามารถเลือกตัวแทนจากระดับล่างสุดขึ้นมาเป็นสภาผู้นำชุมชนระดับตำบล อำเภอ จังหวัด และระดับชาติ โดยมีข้อกำหนดให้องค์กรที่มีอำนาจนำข้อเสนอแนะจากสภาผู้นำชุมชนไปพิจารณา ตั้งแต่ อบต. ไปจนถึง ครม.

5.ระบบความยุติธรรมที่อิสระและเข้มแข็ง คือเครื่องมือของประชาธิปไตยทุกฝ่ายในสังคมต้องร่วมกันสนับสนุนค้ำจุนให้ระบบความยุติธรรมมีความเป็นอิสระ มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ

6.เสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือของประชาธิปไตย เผด็จการพยายามแทรกแซงเสรีภาพของสื่อมวลชนหรือพยายามซื้อให้เป็นพวก ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่สื่อต้องอาศัยการโฆษณา นายทุนนักการเมืองสามารถกลั่นแกล้งแทรกแซงสื่อมวลชนด้วยวิธีทางธุรกิจได้อย่างไม่สู้ยากนัก ในประเทศที่เจริญ การมีหนังสือพิมพ์แบบสืบสวน เป็นเครื่องมือที่หยุดยั้งคอรัปชั่นได้อย่างชะงัด คุณภาพของสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือของประชาธิปไตย

7.กลไกการตรวจสอบและการคานอำนาจฝ่ายบริหาร องค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบและคานอำนาจฝ่ายบริหารตามที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ ถ้าเป็นอิสระและมีคุณภาพจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่พัฒนาคุณภาพการเมือง แต่อาจถูกแทรกแซงได้โดยเฉพาะจากอำนาจเงินมหาศาล ควรพัฒนากลไกการตรวจสอบและการคานอำนาจให้ดียิ่งขึ้น โดยบัญญัติการได้มาซึ่งกรรมการในองค์กรอิสระให้รัดกุมขึ้น

8.คุณภาพของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่องนี้เป็นปัญหามากที่สุด อิทธิพลของเงินขนาดใหญ่หรือธนกิจการเมืองเป็นปัจจัยทำลายระบบการเมืองมากที่สุด ทำให้เราได้ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ขาดความรู้ความสามารถ ทำงานไม่เป็น เป็นคนทุจริตเห็นแก่ได้ ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน วุ่นวาย เศร้าหมอง และวิกฤติ ในขณะที่การเลือกตั้งเป็นของจำเป็นในระบอบประชาธิปไตย ต้องหาทางขจัดอำนาจเงินที่เข้ามาสู่การเลือกตั้งทุกวิถีทาง และต้องไม่ให้อำนาจที่ได้มาจาการเลือกตั้งเป็นอำนาจเดี่ยวและเป็นอำนาจที่ไม่รับผิดชอบ

9.การเมืองภาคประชาชน ระบบการเมืองของเราจมปลักอยู่ในความไม่ถูกต้องอย่างเหนียวแน่นอย่างยากที่จะสลัดตัวออกมาได้ เร็วๆ นี้มีปัจจัย 2 ประการ ที่เขย่าระบบการเมืองที่ไม่ถูกต้องอย่างแรง ประการหนึ่งคือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสกระตุ้นให้ตุลาการทำงานอย่างเข้มแข็ง ถูกต้องเที่ยงธรรม เพื่อแก้วิกฤติของบ้านเมือง อีกประการหนึ่งคือการเมืองภาคประชาชนที่รวมตัวเคลื่อนไหวประท้วงต่อต้านความไม่ถูกต้องด้วยสันติวิธีและด้วยอารยะขัดขืน การต่อต้านและขัดขืนด้วยสันติวิธีแบบที่ มหาตมะ คานธี ใช้

เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลายเป็นเครื่องมือที่ให้การศึกษาทางการเมืองอย่างกว้างขวาง อย่างไม่เคยมีมาก่อน คณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่เคยสามารถให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนได้ถึงขนาดนี้ จริงอยู่พันธมิตรอาจจะมีผิดบ้างถูกบ้าง แต่ภาพใหญ่คือการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง การปฏิวัติประชาธิปไตยจะเป็นไปได้ต่อเมื่อประชาชนมีจิตสำนึกและมีการศึกษาทางการเมืองโดยการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง การเมืองภาคประชาชนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของการปฏิวัติประชาธิปไตย ควรทำให้การเมืองภาคประชาชนมีความเป็นสถาบัน

การต่อสู้ทางการเมืองได้ดำเนินมานานพอสมควร จนบ้านเมืองบอบช้ำและไม่สามารถหาจุดลงตัวได้ เกิดสภาวะเสี่ยงที่จะเกิดมิคสัญญีกลียุค คนไทยทั้งมวลทุกหมู่เหล่า องค์กร และสถาบัน ทั้งนักวิชาการ ทหาร และพลเรือน ตลอดจนพรรคการเมืองต่างๆ ควรหันมาร่วมกันปฏิวัติประชาธิปไตย เป็นการปฏิวัติด้วยสันติวิธี ไม่มีใครตาย ที่จะตายคือความไม่ถูกต้อง ประชาธิปไตยไม่ใช่เป็นเพียงกลไกและกลไกเท่านั้น แต่ต้องเป็นระบบที่มีความถูกต้องเป็นธรรม เราต้องร่วมกันปฏิวัติประชาธิปไตยให้ระบบการเมืองมีความถูกต้องเป็นธรรม การเมืองจึงจะไปสู่จุดลงตัวใหม่ เป็นปัจจัยให้ประเทศไทยเกิดความเจริญอย่างแท้จริงและมีศานติสุข


-------------------------------------



หมายเหตุ - ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เผยแพร่บทความ “การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคนไทยทั้งมวล” ลงในหนังสือพิมพ์คมชักลึกวันที่ 21 ก.ค. 51 และหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เสนอหนทางผ่าทางตันการเมือง ไม่นองเลือดไม่ทำให้คนตาย ที่ตายคือความไม่ถูกต้อง แต่หากไม่ทำจะเกิด “มิคสัญญีกลียุค” โดยมีหลักการ 9 ข้อ


ประชาไท 22/7/51

(www.prachatai.com)