Showing posts with label บทความ. Show all posts
Showing posts with label บทความ. Show all posts

Friday, August 1, 2008

การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคนไทยทั้งมวล

การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคนไทยทั้งมวล



ประเวศ วะสี


คำว่า “ปฏิวัติ” โดยรูปศัพท์แปลว่า การหมุนกลับ ในทางพระพุทธศาสนาใช้ในความหมายไม่ดี คือในท้ายปฐมเทศนา หรือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีความว่า เมื่อพระศาสดาได้กลิ้งพระธรรมจักรให้หมุนไปสู่มวลมนุษย์แล้ว ไม่มีใครจะหมุนกลับ (ปฏิวัติ) ได้ การปฏิวัติฝรั่งเศสกับการปฏิวัติรัสเซียหมายถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองอย่างทันทีทันใด การปฏิวัติรัฐประหารของไทยหมายถึงกองทัพยึดอำนาจทางการเมืองล้มล้างรัฐบาลเก่า หลายคนไม่ยอมเรียกการรัฐประหารว่าเป็นการปฏิวัติ เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิถีคิดและระบบคุณค่า เป็นเพียงเปลี่ยนกลุ่มบุคคลผู้ยึดกุมอำนาจรัฐเท่านั้น

ประเทศไทยพยายามเป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 แต่ไม่สำเร็จ เพราะทำกันแต่ “รูปแบบ” โดยไม่ได้ “ปฏิวัติจิตสำนึกประชาธิปไตย” จิตสำนึกอันคับแคบ+ “รูปแบบ” ได้นำการเมืองไทยสู่สภาวะวิกฤติในปัจจุบัน จิตอันคับแคบคือจิตที่มากอยู่ด้วยตัณหา มานะ ทิฐิ



ตัณหา คืออยากเป็นอยากเอา


มานะ คือการใช้อำนาจเหนือคนอื่น

ทิฐิ คือการเอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่



นี่คือสัตว์ร้ายสามตัวในตัวมนุษย์ ที่ไม่ใช่จิตสำนึกประชาธิปไตย เราเห็นสัตว์ร้ายสามตัวนี้ครองโลกการเมืองไทย เมื่อมีคนมีตัณหาในทรัพย์สินเงินทองมาก แสวงหาความร่ำรวยสุดๆ แล้วเอาเงินทองอันมากมายนั้นมาสนองการใช้อำนาจเหนือคนอื่น (มานะ) และการเอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่ (ทิฐิ) ความเลวร้ายทางการเมืองก็เกิดขึ้นสุดๆ “รูปแบบ” คือการเลือกตั้ง ก็กลายเป็นเพียงเครื่องมือที่กลุ่มคนที่มีจิตสำนึกอันคับแคบใช้ในการเข้าไปสู่การยึดกุมอำนาจรัฐรวมศูนย์ ซึ่งไม่ใช่ประชาธิปไตยโดยสาระ ความไม่เป็นธรรมจึงเกิดขึ้นทั่วไป บ้านเมืองระส่ำระสาย แก้ปัญหาไม่ได้ ขัดแย้ง แตกแยก และเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงนองเลือด เคลื่อนเข้าสู่มิคสัญญีกลียุคมากขึ้นเรื่อยๆ

จึงจำเป็นต้องมีปฏิวัติประชาธิปไตย

และถ้าเป็นการปฏิวัติโดยคนไทยทั้งมวล ไม่ใช่โดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด การปฏิวัติก็จะเป็นไปด้วยสันติวิธี โปรดสังเกตว่าความรุนแรงอาจไม่ใช่การปฏิวัติ แต่สันติวิธีก็เป็นการปฏิวัติได้ ถ้ามีการเปลี่ยนจิตสำนึก เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนระบบคุณค่า เปลี่ยนระบบการปกครอง ถึงเวลาที่คนไทยทั้งมวลทุกหมู่เหล่า ควรมี ความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่จะปฏิวัติประชาธิปไตย

หลักการปฏิวัติประชาธิปไตย

1.ปฏิวัติจิตสำนึกประชาธิปไตย จิตสำนึกประชาธิปไตยเป็นจิตใหญ่ที่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เคารพสิทธิมนุษยชน เคารพความสุจริต ยุติธรรม เคารพประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว มีขันติธรรม มีอหิงสธรรม มีการใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหา มีส่วนร่วมในกิจการของส่วนรวมและทั้งบ้านเมืองด้วยความปรารถนาความถูกต้องเป็นธรรม


จิตสำนึกประชาธิปไตยเป็นรากฐานของประชาธิปไตย กลไกและกิจกรรมทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อการปฏิวัติจิตสำนึกประชาธิปไตย

2.การกระจายอำนาจอย่างทั่วถึง ประชาธิปไตยคือการกระจายอำนาจ เผด็จการคือการรวมศูนย์อำนาจ ระบบการปกครองของไทยคือระบบอำนาจรัฐรวมศูนย์ ในระบบอย่างนี้การเลือกตั้งกลายเป็นพิธีกรรมใช้เงินเป็นอาวุธเพื่อเข้ามาใช้อำนาจรัฐรวมศูนย์ จึงเป็นระบบเผด็จการที่มีการเลือกตั้ง หาใช่ประชาธิปไตยไม่ อำนาจรัฐรวมศูนย์มีความสามารถต่ำในการแก้ปัญหา จึงแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ได้ เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาความอยุติธรรม ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากไร้ประสิทธิภาพแล้ว อำนาจรัฐรวมศูนย์ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งทั่วไป

การปฏิวัติประชาธิปไตย ต้องกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง ถ้าชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิในการปกครองตนเองและป้องกันการเอารัดเอาเปรียบและการจำกัดสิทธิจากส่วนบน ประชาชนจะพ้นจากความยากจนโดยรวดเร็ว

3.สิทธิในการสื่อสารโดยประชาชน ช่วยกันสนใจตรงนี้ให้ดีๆ เพราะนี่คือการปฏิวัติประชาธิปไตย ทุกวันนี้ประชาชนตกเป็นผู้รับสารที่สื่อมาจากภาครัฐและภาคธุรกิจ ทั้งอำนาจรัฐและอำนาจเงินกำหนดการรับรู้ของประชาชน ประชาชนต้องเป็นผู้สื่อสารเองโดยทุกๆ ทาง ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต สิ่งพิมพ์ ที่ด่วนที่สุดคือเครือข่ายวิทยุชุมชนที่ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้สื่อ มีการสังเคราะห์การสื่อสารของประชาชนแล้วนำไปใช้ในทางที่เหมาะสม นี่เท่ากับเป็นการเปิดบทบาทของประชาชนทั้งประเทศ เป็นการปฏิวัติประชาธิปไตย ความชั่วต่างๆ ก็ทำได้ยากขึ้น การมีระบบสื่อสารโดยประชาชนอย่างทั่วถึง จะเป็นการเปิดพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ในระบบเผด็จการพื้นที่นี้ปิด การเปิดพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง จึงเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตย

4.การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางนโยบายในโครงการพัฒนาและในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 87 คือการเมืองภาคพลเมือง ประชาชนมีความชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมายที่จะรวมตัวกันที่จะมีสิทธิมีเสียงในเรื่องนโยบาย เรื่องโครงการพัฒนา และเรื่องตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ

ในบางชุมชนของไทยมีประชาธิปไตยโดยตรงที่ไม่ได้ใช้การเลือกตั้งกล่าว คือมีสภาผู้นำชุมชนที่มาจากผู้นำตามธรรมชาติของกลุ่มต่างๆ ในชุมชน สภาผู้นำชุมชนต้องการรวบรวมข้อมูลชุมชนแล้วทำแผนพัฒนาชุมชนโดยให้ที่ประชุมของคนทั้งหมู่บ้านที่เรียกว่าสภาประชาชน รูปแบบนี้ควรขยายตัวทั้งทางกว้างและในการขึ้นมาสู่ระดับบน สภาผู้นำชุมชนสามารถเลือกตัวแทนจากระดับล่างสุดขึ้นมาเป็นสภาผู้นำชุมชนระดับตำบล อำเภอ จังหวัด และระดับชาติ โดยมีข้อกำหนดให้องค์กรที่มีอำนาจนำข้อเสนอแนะจากสภาผู้นำชุมชนไปพิจารณา ตั้งแต่ อบต. ไปจนถึง ครม.

5.ระบบความยุติธรรมที่อิสระและเข้มแข็ง คือเครื่องมือของประชาธิปไตยทุกฝ่ายในสังคมต้องร่วมกันสนับสนุนค้ำจุนให้ระบบความยุติธรรมมีความเป็นอิสระ มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ

6.เสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือของประชาธิปไตย เผด็จการพยายามแทรกแซงเสรีภาพของสื่อมวลชนหรือพยายามซื้อให้เป็นพวก ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่สื่อต้องอาศัยการโฆษณา นายทุนนักการเมืองสามารถกลั่นแกล้งแทรกแซงสื่อมวลชนด้วยวิธีทางธุรกิจได้อย่างไม่สู้ยากนัก ในประเทศที่เจริญ การมีหนังสือพิมพ์แบบสืบสวน เป็นเครื่องมือที่หยุดยั้งคอรัปชั่นได้อย่างชะงัด คุณภาพของสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือของประชาธิปไตย

7.กลไกการตรวจสอบและการคานอำนาจฝ่ายบริหาร องค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบและคานอำนาจฝ่ายบริหารตามที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ ถ้าเป็นอิสระและมีคุณภาพจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่พัฒนาคุณภาพการเมือง แต่อาจถูกแทรกแซงได้โดยเฉพาะจากอำนาจเงินมหาศาล ควรพัฒนากลไกการตรวจสอบและการคานอำนาจให้ดียิ่งขึ้น โดยบัญญัติการได้มาซึ่งกรรมการในองค์กรอิสระให้รัดกุมขึ้น

8.คุณภาพของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่องนี้เป็นปัญหามากที่สุด อิทธิพลของเงินขนาดใหญ่หรือธนกิจการเมืองเป็นปัจจัยทำลายระบบการเมืองมากที่สุด ทำให้เราได้ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ขาดความรู้ความสามารถ ทำงานไม่เป็น เป็นคนทุจริตเห็นแก่ได้ ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน วุ่นวาย เศร้าหมอง และวิกฤติ ในขณะที่การเลือกตั้งเป็นของจำเป็นในระบอบประชาธิปไตย ต้องหาทางขจัดอำนาจเงินที่เข้ามาสู่การเลือกตั้งทุกวิถีทาง และต้องไม่ให้อำนาจที่ได้มาจาการเลือกตั้งเป็นอำนาจเดี่ยวและเป็นอำนาจที่ไม่รับผิดชอบ

9.การเมืองภาคประชาชน ระบบการเมืองของเราจมปลักอยู่ในความไม่ถูกต้องอย่างเหนียวแน่นอย่างยากที่จะสลัดตัวออกมาได้ เร็วๆ นี้มีปัจจัย 2 ประการ ที่เขย่าระบบการเมืองที่ไม่ถูกต้องอย่างแรง ประการหนึ่งคือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสกระตุ้นให้ตุลาการทำงานอย่างเข้มแข็ง ถูกต้องเที่ยงธรรม เพื่อแก้วิกฤติของบ้านเมือง อีกประการหนึ่งคือการเมืองภาคประชาชนที่รวมตัวเคลื่อนไหวประท้วงต่อต้านความไม่ถูกต้องด้วยสันติวิธีและด้วยอารยะขัดขืน การต่อต้านและขัดขืนด้วยสันติวิธีแบบที่ มหาตมะ คานธี ใช้

เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลายเป็นเครื่องมือที่ให้การศึกษาทางการเมืองอย่างกว้างขวาง อย่างไม่เคยมีมาก่อน คณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่เคยสามารถให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนได้ถึงขนาดนี้ จริงอยู่พันธมิตรอาจจะมีผิดบ้างถูกบ้าง แต่ภาพใหญ่คือการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง การปฏิวัติประชาธิปไตยจะเป็นไปได้ต่อเมื่อประชาชนมีจิตสำนึกและมีการศึกษาทางการเมืองโดยการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง การเมืองภาคประชาชนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของการปฏิวัติประชาธิปไตย ควรทำให้การเมืองภาคประชาชนมีความเป็นสถาบัน

การต่อสู้ทางการเมืองได้ดำเนินมานานพอสมควร จนบ้านเมืองบอบช้ำและไม่สามารถหาจุดลงตัวได้ เกิดสภาวะเสี่ยงที่จะเกิดมิคสัญญีกลียุค คนไทยทั้งมวลทุกหมู่เหล่า องค์กร และสถาบัน ทั้งนักวิชาการ ทหาร และพลเรือน ตลอดจนพรรคการเมืองต่างๆ ควรหันมาร่วมกันปฏิวัติประชาธิปไตย เป็นการปฏิวัติด้วยสันติวิธี ไม่มีใครตาย ที่จะตายคือความไม่ถูกต้อง ประชาธิปไตยไม่ใช่เป็นเพียงกลไกและกลไกเท่านั้น แต่ต้องเป็นระบบที่มีความถูกต้องเป็นธรรม เราต้องร่วมกันปฏิวัติประชาธิปไตยให้ระบบการเมืองมีความถูกต้องเป็นธรรม การเมืองจึงจะไปสู่จุดลงตัวใหม่ เป็นปัจจัยให้ประเทศไทยเกิดความเจริญอย่างแท้จริงและมีศานติสุข


-------------------------------------



หมายเหตุ - ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เผยแพร่บทความ “การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคนไทยทั้งมวล” ลงในหนังสือพิมพ์คมชักลึกวันที่ 21 ก.ค. 51 และหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เสนอหนทางผ่าทางตันการเมือง ไม่นองเลือดไม่ทำให้คนตาย ที่ตายคือความไม่ถูกต้อง แต่หากไม่ทำจะเกิด “มิคสัญญีกลียุค” โดยมีหลักการ 9 ข้อ


ประชาไท 22/7/51

(www.prachatai.com)

โอเวอร์โพลิติไซต์

หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน,วันที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11101


"โอเวอร์โพลิติไซต์"

โดย เกษียร เตชะพีระ


"เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลายเป็นเครื่องมือที่ให้การศึกษาทางการเมือง อย่างกว้างขวางอย่างไม่เคยมีมาก่อน คณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่เคยสามารถให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนได้ถึงขนาดนี้ จริงอยู่พันธมิตรอาจจะมีผิดบ้างถูกบ้าง แต่ภาพใหญ่คือการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง....."


ประเวศ วะสี "การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคนไทยทั้งมวล"

ไทยโพสต์ 21 ก.ค. 2551


ในบรรดา "ผู้หลักผู้ใหญ่" ที่ผมได้มีโอกาสรู้จัก ท่านหนึ่งที่ผมไม่อยากเถียงด้วยเลยคืออาจารย์หมอประเวศ (ต่างจากท่านอื่นเช่น อาจารย์อัมมาร สยามวาลา ซึ่งผมชอบเถียงด้วยเวลาโดนท่านยั่วยุ ถึงแม้มักจะเถียงแพ้และเหนื่อย แต่ก็สนุกและฉลาดขึ้น)

ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะอาจารย์หมอประเวศมีเมตตาบารมีสูง ยิ่งได้ยกมือไหว้สนทนาปราศรัยกับท่านเป็นการส่วนตัวแล้ว ยิ่งรู้สึกรักนับถือประทับใจ - คนอะไรหนอช่างหวังดีต่อโลกและเพื่อนมนุษย์เช่นนี้ - จนอยากจะเห็นด้วยกับท่านไปทุกเรื่องเสียเหลือเกิน

แต่หนนี้...แหะๆ...เห็นทีจะต้องเถียงอาจารย์หมอหน่อยแล้วล่ะครับ โดยเฉพาะกับข้อความข้างต้นที่ผมยกมา

แน่นอน ในฐานะอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เรื่องนี้ผมย่อมมี "ผลประโยชน์ขัดกัน" (conflict of interest) อยู่บ้าง แต่ที่คับข้องใจจนต้องลุกขึ้นมาเถียงอาจารย์หมอก็ไม่ใช่เพราะเหตุนี้นะครับ หากเป็นเพราะผมเห็นต่างจริงๆ และคิดว่าอาจารย์หมอกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่น่าเป็นห่วง

ผมคิดว่าอาจารย์หมอกำลังสับสนปะปน "การให้การศึกษาทางการเมือง" (political education) เข้ากับ "การปลุกเร้าให้ตื่นตัวทางการเมือง" (politicization) ครับ

และตรงข้ามกับอาจารย์หมอ ผมกลับเห็นว่าปัญหาของบ้านเมืองเราอยู่ตรงกำลังมีการปลุกเร้าให้ตื่นตัวทางการเมืองมากเกินไป แต่มีการให้การศึกษาทางการเมืองน้อยเกินไป, กำลังมีความเชื่อมั่นทางการเมืองมากเกินไป แต่มีความสงสัยทางการเมืองน้อยเกินไป

"การให้การศึกษาทางการเมือง" เป็นเรื่องของการให้กรอบ/แผนที่แนวคิดทฤษฎีทางการเมืองอย่างกว้างขวาง หลากหลายและเป็นระบบ เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถเลือกนำไปประยุกต์ปรับปรุงใช้เป็นเครื่องมือสำหรับสังเกตประมวลข้อมูลข้อเท็จจริง จับประเด็นรวบยอดความคิด เชื่อมโยงความสัมพันธ์ วิเคราะห์ทำความเข้าใจ วิพากษ์วิจารณ์ และประเมินคุณค่าปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างรอบด้านและลึกซึ้ง อิสระและคิดเองเป็น ผ่านการฟังบรรยาย การอ่าน การอภิปรายถกเถียงสัมมนาแลกเปลี่ยน การเสพรับสื่อโสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ การค้นคว้าวิจัยในห้องสมุดและภาคสนาม กระทั่งเข้าร่วมกิจกรรมการปฏิบัติที่เป็นจริง

โดยมีสติตื่นรู้ตัวตลอดเวลาว่าตนเป็นผู้ศึกษาไม่ใช่ผู้กระทำการเอง, อีกทั้งพยายามรักษาระยะห่างทางจุดยืนและมุมมองไว้ระดับหนึ่งจากปรากฏการณ์ที่ตนศึกษา เพื่อให้สามารถมองและศึกษามันอย่างมีอุเบกขา เยือกเย็น (ครูของผมท่านหนึ่งกระทั่งสอนว่า "เลือดเย็น") เที่ยงตรงตามความเป็นจริง และวิพากษ์วิจารณ์มันได้

เท่าที่ผมเข้าใจ นี่เป็นลักษณะเนื้อแท้ของงานที่ผมและเพื่อนคณาจารย์เพียรพยายามทำมาในคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ ครับ

ส่วน "การปลุกเร้าให้ตื่นตัวทางการเมือง" เป็นเรื่องของการปลุกจิตสำนึกผู้คนให้หันมาตื่นตัวสนใจปัญหาการเมือง มุ่งเปลี่ยนทรรศนะและจุดยืนของเขาให้มองสภาพความเป็นจริงทางสังคมรอบตัวจากแง่มุมการเมือง และเปลี่ยนอัตลักษณ์และตัวตนหรือนัยหนึ่งเปลี่ยนความเข้าใจตัวเองของเขาให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิต/ผู้กระทำการทางการเมือง ที่เล็งเห็นความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างตัวเองกับการเมือง มองว่าตัวเองสามารถเข้าร่วมมีบทบาทเป็นฝ่ายกระทำให้การเมืองเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งเป็นสิ่งดีงามถูกต้องสมควรที่จะทำเช่นนั้นด้วย

ลงถูกปลุกให้ตื่นตัวทางการเมืองแล้วมันก็เหมือนเกิดใหม่ มองโลกใหม่ และมันสสส์อย่าบอกใครเลยเชียวครับ มันให้คึกคักกระปรี้กระเปร่ากระตือรือร้น มีพลังวิริยภาพสร้างสรรค์ไม่สิ้นสุด พร้อมอุทิศตัวเสียสละแบ่งปัน อบอุ่นเร่าร้อนท่ามกลางเพื่อนร่วมขบวนการ รู้สึกชีวิตมีคุณค่าความหมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดีใจสุขใจที่ได้ไปร่วมชุมนุมต่อสู้ตากแดดตากฝนอาบเหงื่อต่างน้ำคอแห้งเปียกแฉะหิวเหนื่อยกับคนอื่นๆ เหมือนได้ทำความดีหรือทำบุญใหญ่ให้ส่วนรวมทุกวัน ไม่กลัวเหนื่อยยาก ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย กระทั่งรู้สึกผิดรู้สึกขาดหายอะไรบางอย่างถ้าไม่ได้ไปร่วมงานการเมืองไปร่วมรับทุกข์ทนยากลำบากเสียสละกับคนอื่นๆ เขาเป็นประจำ

พร้อมกันนั้น ก็ค่อยๆ ละลายตัวเอง ลืมตัวเอง หลอมรวมอัตลักษณ์ตัวตนอารมณ์ความรู้สึกเข้ากับฝูงชน มีอารมณ์ร่วมหัวเราะร้องไห้เลือดฉีดพลุ่งพล่านไปกับเขา พื้นที่ของโลกการเมืองในสายตาจึงยิ่งแจ้งกระจ่างสว่างไสวชัดขึ้นๆ ขณะที่มุมมองการเมืองยิ่งโฟกัสแคบลงๆ ไปพร้อมกัน ถึงจุดหนึ่งการเลือกข้างเลือกฝ่ายทางการเมืองก็นำไปสู่การเลือกมองเห็นปัญหาเฉพาะบางปัญหาและบางแง่มุม เลือกรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงเฉพาะบางเรื่องบางด้าน เลือกฟังเลือกเชื่อแต่สื่อ-เสียง-ผู้นำของพวกเรา เลิกฟังเลิกเชื่อสื่อ-เสียง-ผู้นำของ "พวกมัน"

ใครจะว่าฟังความข้างเดียวหรือมองด้านเดียวก็ไม่เห็นจะเป็นไรในเมื่อมันเป็นข้างเป็นด้านที่ถูกต้อง ใครจะว่าสุดขั้วสุดโต่งก็ไม่เห็นจะแคร์ในเมื่อมันเป็นขั้วของธรรมะ/ส่วนรวม/ประชาชน/ประเทศชาติ/ประชาธิปไตย/ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ฯลฯ

ขณะที่ "พวกมัน" "ฝ่ายตรงข้าม" หรือ "ศัตรู" เป็นอธรรม/เห็นแก่ตัว/ทุนสามานย์/ซ้ายอกหัก/ขายชาติ/เผด็จการ/ศักดินา/อำมาตยาธิปไตย/มาร ฯลฯ

ต่ำช้าป่าเถื่อนเลวทรามจัญไรราวเดรัจฉาน เหมือนไม่ใช่คนไทย ไม่คู่ควรแก่ความเป็นมนุษย์ ไอ้สัตว์ ไอ้เห้.....

เลยจากจุดนั้นไม่ไกล ไปอีกนิดเดียว ก็คือความรุนแรง ฉวยท่อนไม้ คว้าก้อนหิน หนังสติ๊ก คันธง ดาบ ขวาน ไม้เบสบอลเข้าห้ำหั่นฆ่าฟันกัน!

อันตรายที่สุดของ "การปลุกเร้าให้ตื่นตัวทางการเมือง" เกินขนาด (over-politicization) คือทำให้เชื่อมั่นยึดมั่นถือมั่นในความถูกต้องชอบธรรมของฝ่ายตัวอย่างสิ้นสงสัยด้วยประการทั้งปวง, แน่ใจในความถูกต้องชอบธรรมของฝ่ายตัวอย่างสัมบูรณ์แบบ, จนขาดสติ จนพร้อมจะยอมตายและยอมฆ่าเพื่อความถูกต้องดังกล่าว!

ก็ในเมื่อเราถูกอ่ะ ไอ้พวกนั้นมันก็ต้องผิดไง...ฆ่ามันๆ!

ด้วยความเคารพ เท่าที่ผมเห็น นี่คือแนวโน้มที่ได้เกิดขึ้นและกำลังเกิดขึ้นกับพลังการเมืองทั้งสองขั้วสองฝ่ายในบ้านเรา ไม่ว่าบนเวทีพันธมิตร หรือเวที นปก. ไม่ว่าทางเอเอสทีวี หรือพีทีวี/เอ็นบีที ไม่ว่าที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ หรือสนามหลวง หรือราชดำเนิน เชียงราย ศรีสะเกษ มหาสารคาม บุรีรัมย์ อุดรธานี ฯลฯ ไม่ใช่หรือครับอาจารย์หมอประเวศ?

มันคือด้านที่น่าเป็นห่วงของปรากฏการณ์แบ่งฝ่ายแยกขั้วและโอเวอร์โพลิติไซต์ในบ้านเราครับ ผมยอมรับว่าในแง่โอเวอร์โพลิติไซเซชั่นนี้ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆ คงทำไม่ได้และไม่ควรจะทำกับประชาชน ตรงกันข้าม ผมกลับเห็นว่าทำอย่างไรคณะรัฐศาสตร์ ปัญญาชนสาธารณะ (รวมทั้งอาจารย์หมอเอง) และสังคมไทยโดยรวมจะช่วยกันเหนี่ยวรั้งให้ผู้คนสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันยับยั้งชั่งใจ หัดมองหัดฟังคนอื่น เกิดสงสัยความปักใจเชื่อของตัว สงสัยความถูกต้องชอบธรรมดีงามอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายตัวเองและผู้นำของตัวขึ้นมาบ้าง และมองเห็นความเป็นคนไทย ความเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมทุกข์ร่วมโลกของฝ่ายตรงข้ามบ้างเช่นกันมิฉะนั้น ผมเกรงว่าไทยคงฆ่าไทยด้วยกันจนเลือดนองท้องช้างก่อนจะทันได้ไปร่วมปฏิวัติประชาธิปไตยกับอาจารย์หมอครับ!

หน้า 6

(http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act03010851&day=2008-08-01&sectionid=0130)