Showing posts with label สถานการณ์ชายแดนใต้. Show all posts
Showing posts with label สถานการณ์ชายแดนใต้. Show all posts

Thursday, June 11, 2009

“5 ปีตากใบ 5 ปีไฟใต้ 5 เดือนรัฐบาลอภิสิทธิ์”


สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ   จัดสัมมนาเรื่อง 5 ปีตากใบ  5 ปีไฟใต้   5 เดือนรัฐบาลอภิสิทธิ์”      เมื่อ 11 มิ.ย. 52  เวลา  13.00 – 16.30 น.           ณ ห้องประชุมสมาคมนิสิตเก่าคณะรัฐศาสตร์   จุฬาฯ  ตึกสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์  ชั้น 2 อาคาร 3 คณะรัฐศาสตร์  จุฬาฯ  มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการสัมมนาประมาณ  50  คน 

 
         ศ.ดร.วิทิต มันตราภรณ์  อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า เหตุการณ์กราดยิงชาวบ้านมุสลิมระหว่างการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา เมื่อ  8 มิ.ย. 52  เป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจของประชาชนอย่างมาก  ยิ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังศาลพิพากษาว่ากรณีเหตุการณ์ตากใบเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีความผิด  ทำให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม  จะตอกย้ำความรู้สึกไม่ไว้วางใจฝ่ายรัฐมากขึ้น

           นายวิทิตฯ กล่าวว่า การแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีทั้งการพัฒนาที่ดีขึ้นและแย่ลง ส่วนที่ดีขึ้นประกอบด้วย 1 .ตอนนี้ทหารใช้คำพูดที่อ้างถึงสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมมากขึ้น ขณะที่มีข้อมูลการประทุษร้ายในค่ายทหารและเรือนจำลดลงจากปีก่อน ๆ 2 .จำนวนของบุคคลที่ถูกกักตัวอยู่ในค่ายลดลงและอยู่สั้นขึ้น มีการโอนตัวไปสู่เรือนจำเร็วกว่าสมัยก่อน 3 .เจ้าหน้าที่มีแนวโน้มที่ถูกลงโทษทางวินัยมากยิ่งขึ้น 4 .กลุ่มประชาสังคมหนาแน่นขึ้น พร้อมช่วยเหลือเหยื่อได้มากขึ้น  5 .สถิติความรุนแรงลดลง 

         ขณะที่สิ่งที่แย่ลงก็มี 5 ประการเช่นกันคือ 1 .การปฎิบัติการรุนแรงมากขึ้น มีการฆ่ากันตายในมัสยิด ผู้ที่ถูกโจมตีเป็นผู้นำชุมชน โต๊ะอิหม่าม ครู บั่นทอนจิตใจประชาชนและเยาวชน 2 .ผู้ก่อสถานการณ์ยังคงนิรนาม แต่ส่งผลกระทบวงกว้าง ขึ้น 3 .ข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ(กอส.)ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ 4 .เหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแนวรบอย่างค่ายทหาร แต่เกิดในชุมชนชาวบ้านมากขึ้น และ 5 .การปฎิบัติการไม่ได้มุ่งสู่การให้บทบาทภาคพลเรือน 

         นายวิทิตฯกล่าวต่อว่าการแก้ปัญหาความรุนแรงไม่ได้อยู่ที่การใช้กฎหมาย ความมั่นคง เพราะถ้าใช้แล้วขัดหลักสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม ก็แก้ปัญหาไม่ได้     ต้องให้ชาวบ้านเข้าถึงศาลโดยเร็ว ผู้ต้องหาสามารถเข้าถึงครอบครัวและทนายอย่างสม่ำเสมอ ห้ามไม่ให้ประทุษร้ายอย่างชัดเจนชัดแจ้ง เป็นห่วงสิ่งที่เกิดในท้องถิ่น ที่จะมากกว่าในค่าย โดยเฉพาะกรณีตากใบถ้าประชาชนยังติดใจอยู่ ก็สามารถฟ้องแพ่งต่อได้

         นายวิทิตฯกล่าวถึงข้อเสนอของเอ็นจีโอและนักวิชาการบางส่วนที่เรียกร้องให้ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎอัยการศึก  ว่าส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว  เพียงแต่ต้องการให้บังคับใช้ในกรอบเจตนารมณ์ของกฎหมายและคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพื้นที่ให้มากที่สุด

         นายวิทิตฯ เสนอทางออกในการแก้ปัญหาว่า 1 .การเยียวยาต้องใช้ภาคพลเรือนเป็นตัวนำ และไม่ใช้กฎหมายเพื่อลบล้างความผิดของผู้กระทำ 2 .กระจายอำนาจให้ประชาชนมีส่วนร่วม 3 .เน้นการเข้าถึงเหยื่อครอบครัว สม่ำเสมอ มากยิ่งขึ้น ให้เงินไม่พอเขาต้องการความเป็นธรรม 4 .ดำเนินมาตรการทางการเมืองและสังคม โดยให้ผู้นำมีกิจกรรมร่วมกัน เยาวชนมีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น และ 5 .ต้องมียุทธศาสตร์สร้างความมั่นคงทางจิตใจของประชาชน เพราะที่ผ่านมาประชาชนมีความหวาดระแวงรัฐ 

         นางอัมรา  พงศาพิชญ์   ว่าที่ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  กล่าวว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้ที่ไม่ประสบความสำเร็จนั้น  ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการจัดความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการพลเรือนกับทหาร  ซึ่งสะท้อนว่าพลเรือนยังไม่มีบทบาทในการทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น

        นายรัษฎา มนูรัษฎา  ตัวแทนสภาทนายความแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า กรณีการเสียชีวิต 85 ศพ ที่อ.ตาบใบ นั้นแม้ว่าศาลจะมีคำสั่งออกมาว่าเป็นการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมของเจ้าหน้าที่ปฎิบัติหน้าที่       แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฎผ่านสื่อคือมีการถอดเสื้อมัดมือไพล่หลัง ประชาชนจำนวนมาก ขณะที่รถมีจำนวนน้อย และพบว่ายิ่งรถคันที่ขนรอบดึกยิ่งมีผู้เสียชีวิตมาก ดังนั้นเท่ากับการเสียชีวิตตั้งแต่คันแรก ๆ ไม่มีการแก้ไข ขณะที่กรรมาธิการวุฒิสภา อาทิ น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตส.ว. ให้การกับศาลว่าอยู่ ๆ คนจะขาดอากาศหายใจแล้วเสียชีวิตไม่ได้ แต่ต้องมีสาเหตุ ซึ่งมาจากการถูกกดทับที่ปอด ทรวงอก ทำให้หายใจไม่ได้ ดังนั้นตามประมวลวิธีพิจารณาความทางอาญาระบุว่าแม้ศาลมีคำสั่งออกมาก็ไม่กระเทือนสิทธิของผู้เสียหายในการฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญาได้    โดยในทางอาญามีอายุความ 20 ปี  ดังนั้น ทางผู้เสียหายควรดำเนินการต่อสู้ต่อไป   นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้สำนักงานศาลยุติธรรมนำคำสั่งมาพิจารณาว่ามีความครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่
         น.ส.เอริณ เชาว์   ( Erin  Shaw )  ผู้ร่วมสังเกตการณ์คดีตากใบ องค์การนักนิติศาสตร์สากล   กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายให้ความเป็นธรรมกรณีเหตุการณ์ที่อ.ตากใบ โดยเฉพาะการใช้ปืนกับผู้ชุมนุม อยากถามว่าหากเกิดการสลายการชุมนุมแบบนี้ที่กรุงเทพฯ  คนกรุงเทพฯจะรู้สึกอย่างไร รวมถึงคดีการยิงในมัสยิด  เมื่อ 8  มิ.ย. 52   เนื่องจากกระทบกระเทือนต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากลอย่างยิ่ง

         เรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องสิทธิของประชาชนมากกว่านี้และมองการแก้ปัญหาด้วยมุมมองสิทธิมนุษยชนมากขึ้น รัฐบาลต้องทบทวนหลักการปฎิบัติเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยให้สอดคล้องกับหลักสากล  ห้ามไม่ให้มีการทรมาน การปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไร้มนุษยชน

         กล่าวว่ากรณีเหตุการณ์ตากใบทหารทำหน้าที่ไม่เหมาะสม  การใช้ปืนของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติที่ขัดกฎหมายและละเมิดสิทธิของประชาชนต้องได้รับการลงโทษ 

         นางแยนะ สะแลแม  ผู้ประสานงานผู้เสียหายในคดีตากใบ     กล่าวว่า ตลอด 5 ปีที่เกิดเหตุการณ์ที่อ.ตากใบ สร้างความสนใจให้คนทั้งประเทศและต่างประเทศ แต่ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐมาไถ่ถามญาติผู้เสียชีวิตเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง   ผู้ว่าราชการจังหวัดเปลี่ยนมา 3 คนก็ไม่เคยถาม   จึงไม่เข้าใจว่าไม่คิดจะช่วยเหลือเยียวยากันบ้างเลยหรืออย่างไร   แม้แต่ตำรวจเมื่อชาวบ้านไปถามต่างก็บอกว่าไม่รู้เรื่องเพราะเข้ามาพื้นที่ภายหลังเหตุการณ์ ดังนั้นขอเรียกร้องให้ทนายความและและองค์กรสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ดำเนินการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมต่อไป

         นางสาวประทับจิต นีละไพจิตร คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ   กล่าวว่า กรณีตากใบ สะท้อนว่าวิธีการมองสงคราม สันติภาพ และความยุติธรรมในสังคมไทย   เห็นว่าสิ่งที่ทำให้สงครามแยกออกจากสันติภาพคือความยุติธรรม ไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่รัฐไทยมองว่าสันติภาพคือความสงบ ราบคาบ รัฐจัดการการชุมนุมในที่ต่างๆด้วยความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เรียกร้องให้รัฐบาลและสังคมไทยใส่ใจกับมิติความยุติธรรมมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาภาคใต้

         เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินนโยบาย “การเมืองนำการทหาร”อย่างแท้จริง  เพราะทุกวันนี้ทหารนำชาวบ้านไปอบรมโดยมีการบังคับข่มขู่ด้วย  ว่าหากไม่ไปถือว่าไม่ให้ความร่วมมือจะถูกดำเนินการด้วยมาตรการพิเศษ  และมีการเก็บข้อมูลผู้ไปอบรม เช่น เก็บตัวอย่างน้ำลาย,DNA  ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน 

         กล่าวว่าแม้ผลการตัดสินของศาลกรณีตากใบจะกระทบความรู้สึกของประชาชนในพื้นที้มาก  แต่กระบวนการทางศาลก็ยังเป็นสิ่งที่ชาวบ้านยังให้ความไว้วางใจอยู่  เมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่นๆของรัฐ 

         ส่วนกรณีการยิงในมัสยิด เมื่อ 8 มิ.ย.  52  นั้น  เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดวิพากษ์วิจารณ์และให้โอกาสเจ้าหน้าที่ ได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ควรตั้งธงไว้ก่อนว่าใครเป็นคนทำ หากรัฐบาล ค้นพบหลักฐานว่าใครเป็นผู้กระทำต้องจัดการอย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด การคลี่คลายปัญหาต่างๆควรจะเน้นให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชน 

         นายปกรณ์ พึ่งเนตร  นักข่าวหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ/บรรณาธิการศูนย์ข่าวอิศรา กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี 2548 มุมมองชาวบ้านที่มีต่อรัฐไม่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐโดยเฉพาะฝ่ายทหารไม่สามารถสร้างจิตวิทยามวลชนในภาพกว้างได้สำเร็จ แม้หลายหน่วยทหารในพื้นที่สามารถทำให้ชาวบ้านรักและไว้ใจได้ แต่ในระดับสังคมยังทำไม่ได้ ยกตัวอย่างกรณีอย่างกรณีการเสียชีวิตจำนวนมากที่อ.ตากใบนั้น รัฐบาลไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าหากญาติผู้เสียชีวิต ยังคาใจต้องการฟ้องร้องให้รัฐบาลพร้อมจะจัดทนายเพื่อสู้คดีให้ 

        กล่าวว่ากรณีเหตุการณ์ยิงที่มัสยิดเมื่อ 8  มิ.ย. 52 นั้น   หลังจากเกิดเหตุ 2 ชั่วโมง โฆษกฝ่ายทหารออกมาแถลงว่าคนที่ยิงไม่รู้ว่าใครแต่ไม่ใช่ทหาร จึงควรถามต่อไปว่าได้ตรวจสอบรอบด้านแล้วหรือไม่ถึงรู้ว่าคนร้ายไม่ใช่ทหาร ขณะที่ทหารในพื้นที่บางส่วนทหารบางส่วนยังมีทัศนคติในแง่ลบต่อคนมุสลิม มองว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากมุสลิม ความรู้สึกของชาวบ้านที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อเกิดเหตุร้าย รัฐจึงพ่ายแพ้แก่ข่าวลือว่ารัฐเป็นฝ่ายกระทำ 

         นายปกรณ์ฯ กล่าวต่อว่า รัฐบาลชุดนี้นั้นแต่เดิมเป็นความหวังว่าจะแก้ปัญหาได้ แต่เมื่อผ่านไป 5 เดือนกลับไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรม คณะรัฐมนตรีชุดพิเศษที่มีนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย เป็นประธาน ก็เพิ่งประชุมไปแค่ครั้งเดียว ส่วนร่างพ.ร.บ.การบริหารราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะเป็นองค์กรใหม่แก้ปัญหา ขณะนี้ยังไม่ผ่านแม้แต่ในชั้นคณะรัฐมนตรี ขณะที่งบประมาณในการดับไฟใต้ปีนี้ ที่อยู่ในกระทรวงกลาโหมและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) มากถึง 1.7 หมื่นล้านบาท ถือว่ามากกว่า 50 เปอร์เซนต์ ของงบดับไฟใต้ที่กระจายอยู่ในทุกกระทรวงรวมกัน 

         นายปกรณ์ฯกล่าวสรุปว่า  5 ปี เหตุการณ์ตากใบ พิสูจน์ชัดว่ารัฐไม่ได้จริงใจในการแก้ไขหรือต้องการสร้างความยุติธรรมอย่างแท้จริง รวมทั้งกรณีเหตุการณ์ที่กรือเซะด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าคณะกรรมการอิสระสอบสวนแล้วว่านายทหาร 3 นายกระทำผิด แต่อัยการกลับไม่สงฟ้อง คณะกรรมาธิการของรัฐสภาเชิญมาชี้แจง อัยการกลับบอกว่าไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมจึงไม่ส่งฟ้อง และยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหารก็ไม่เป็นจริง เพราะทหารยังคงอยู่หน้าการเมืองเช่นเดิม

ดำเนินรายการโดย นายเอกรินทร์ ต่วนศิริ   นิสิตมหาบัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

อนึ่ง   ในงานสัมมนามีการแจกจ่ายจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ  จัดทำโดยคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.)  มีข้อเสนอต่อรัฐบาลใน 2 ประเด็นหลัก คือ (1) เรียกร้องให้นายกฯ แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาดำเนินการตรวจสอบและสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์กราดยิงชาวมุสลิมเมื่อ 8  มิ.ย. 52  อย่างเร่งด่วน  เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้   และ (2) เรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปการทำงานของกองทัพในพื้นที่  เพราะขณะนี้ยังเป็นการใช้นโยบาย “การทหารนำการเมืองอยู่”   โดยกองทัพมีอำนาจเด็ดขาดทั้งด้านการทหารและการพัฒนา ที่ควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายพลเรือน  ให้รัฐบาลควบคุม,กำกับการทำงานของกองทัพอย่างใกล้ชิดเพื่อให้รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลกองทัพ   ให้รัฐบาลใช้ยุทธศาสตร์ “การเมืองนำการทหาร”และให้ทบทวน ประเมินผล  การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯในพื้นที่ภาคใต้อย่างจริงจัง 

 

-------------------------------------------- 

 

TPR :  คณะกรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.)  ที่มีนายสมชาย หอมลออ เป็นประธาน  หันกลับมาเคลื่อนไหวตรวจสอบกองทัพอีกครั้ง  ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี ถูกต้องสอดรับกับหลักการประชาธิปไตย  ที่ยึดหลักรัฐบาลพลเรือนต้องเป็นใหญ่ ( civilian supremacy )  เนื่องจากมีที่มาอันชอบธรรมจากการเลือกตั้งของประชาชน  ถูกตรวจสอบจากประชาชนได้  แต่กองทัพนั้นประชาชนไม่สามารถตรวจสอบได้

แต่ก็สงสัยบทบาทของนายสมชายฯ และ ครส. ที่ร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย. 49  ว่าตกลงมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไรกันแน่?  



คำถามถึงรัฐไทย : ความสำเร็จต่อการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้


สถาบันอิศรา: รัฐไขปมใต้เดือดระลอกใหม่ กับคำถามถึงความสำเร็จลดสถิติความรุนแรง

 

Thu, 2009-06-11 07:44

ทีมข่าวอิศรา
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง ในรอบ 20 วันที่ผ่านมา คำถามที่ระเบ็งเซ็งแซ่ในสังคมก็คือ เหตุร้ายที่ชายแดนใต้กลับมาปะทุอย่างรุนแรงอีกครั้งได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ฝ่ายความมั่นคงก็ยืนยันมาตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมาว่า สถิติการก่อความไม่สงบลดจำนวนลงแล้ว

วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2009

สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง โดยในรอบ 20 วันที่ผ่านมานับตั้งแต่เปิดภาคเรียนใหม่เมื่อวันที่ 18 พ.ค.จนถึงคืนวันที่ 8 มิ.ย. มีครูถูกสังหารไปแล้ว 4 คน ได้รับบาดเจ็บ 5 คน ชุดคุ้มครองครูถูกโจมตี 6 ครั้ง มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ 15 นาย

นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์ประเภทช็อคความรู้สึกสังคมไล่มาตั้งแต่การก่อ วินาศกรรมย่านธุรกิจ 9 จุดกลางเมืองยะลาเมื่อวันที่ 27 พ.ค. เหตุระเบิดคาร์บอมบ์กลางอำเภอยี่งอ จ.นราธิวาส มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 19 คน เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. และล่าสุดคือเหตุบุกยิงพี่น้องมุสลิมเสียชีวิต 11 ศพถึงในมัสยิด ที่บ้านไอปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

คำถามที่ระเบ็งเซ็งแซ่ในสังคมก็คือ เหตุร้ายที่ชายแดนใต้กลับมาปะทุอย่างรุนแรงอีกครั้งได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ฝ่ายความมั่นคงก็ยืนยันมาตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมาว่า สถิติการก่อความไม่สงบลดจำนวนลงแล้ว

แหล่งข่าวระดับสูงจากกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) แยกแยะเหตุรุนแรงออกเป็น 2 บริบท ซึ่งมีสาเหตุแตกต่างกัน กล่าวคือ

1.เหตุการณ์ลอบทำร้ายครู และเจ้าหน้าที่ชุด รปภ.ครู ถือเป็นการก่อเหตุปกติที่กลุ่มก่อความไม่สงบกระทำทุกครั้งในห้วงเปิดภาค เรียนใหม่ ซึ่งชุด รปภ.ครูถือเป็น "เป้าเคลื่อนที่" ที่ป้องกันยากที่สุด แต่ปีนี้ความสูญเสียค่อนข้างร้ายแรงกว่าช่วง 1 ปีก่อนหน้า

2.เหตุการณ์คาร์บอมบ์ที่ อ.ยี่งอ และเหตุสังหารหมู่ถึงในมัสยิดที่ อ.เจาะไอร้อง พตท.มองว่าต้นเหตุสำคัญมาจากการจับกุมรองหัวหน้าระดับเขต หรือที่เรียกว่า "กัส" ในพื้นที่นราธิวาสเมื่อราว 2 เดือนก่อน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามวางแผนแก้แค้น และตั้งรองหัวหน้าระดับเขตคนใหม่เข้ามา จึงต้องก่อเหตุรุนแรงเพื่อเรียกความมั่นใจ และสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน

ที่สำคัญ เหตุร้ายซึ่งเกิดในพื้นที่ใหม่ๆ และไม่เคยเกิดเหตุรุนแรงมานานอย่าง อ.ยี่งอ เป็นผลจากโครงการหมู่บ้านเสริมสร้างสันติสุข หรือ "หมู่บ้าน 3 ส." ที่ พตท.ส่งกำลัง "ชุดพัฒนาสันติ" เข้าไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านในพื้นที่สีแดง 217 หมู่บ้านทั่วสามจังหวัด ทำให้แกนนำระดับหมู่บ้านไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม บางส่วนต้องหนีออกนอกพื้นที่ และหันกลับมาก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดเหตุมานาน ซึ่งมีระดับการคุมเข้มต่ำกว่าพื้นที่สีแดง

มุมวิเคราะห์จากหน่วยกำลังในพื้นที่สอดรับกับการประชุม "วงใหญ่" ของหน่วยงานความมั่นคงเมื่อวานนี้ ที่มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) นั่งหัวโต๊ะ ซึ่งสรุปว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาฝ่ายความมั่นคงเอาชนะฝ่ายก่อความไม่สงบทั้งทาง ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี กล่าวคือ

ในแง่ยุทธวิธี กลุ่มผู้ไม่หวังดีไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระจากโครงการหมู่บ้าน 3 ส. ขณะที่การข่าวในพื้นที่ดีขึ้น สามารถปิดล้อมตรวจค้นจับกุมแนวร่วมและยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดจนอุปกรณ์ที่ ใช้ในการก่อเหตุรุนแรงได้เป็นจำนวนมาก

ในระดับยุทธศาสตร์ ฝ่ายความมั่นคงสามารถหยุดการสร้างความเข้าใจผิดในเวทีนานาชาติที่ฝ่ายขบวน การพยายามทำมาตลอดได้ การนำเอกอัครราชทูตจากชาติยุโรปลงพื้นที่ สามารถสร้างความเข้าใจได้อย่างดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สงครามศาสนา แม้จะมีข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ภาพรวมของการแก้ปัญหาดีขึ้นกระทั่งในการประชุมใหญ่ขององค์การการประชุมอิส ลาม หรือโอไอซี เมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย ไม่ได้บรรจุกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเป็นวาระพิเศษที่ต้องหารือ

วงประชุมหน่วยงานความมั่นคงชายแดนใต้ฟันธงว่า นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความรุนแรงจากฝ่ายขบวนการในห้วงเวลานี้ เพื่อตรึงสถานการณ์และทำให้ประชาคมโลกเห็นว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ยังมีปัญหา พร้อมๆ กับการใช้ประเด็นสิทธิมนุษยชนและความอยุติธรรม โดยเฉพาะความคืบหน้าล่าสุดของ "คดีตากใบ" เป็นเครื่องมือในการปลุกระดม

แม้บทวิเคราะห์จากฝ่ายความมั่นคงจะมีเหตุผลพอรับฟังได้ แต่ประเด็นที่จะมองข้ามมิได้เป็นอันขาดก็คือ เหตุการณ์กราดยิงถึงในมัสยิดซึ่งมีความละเอียดอ่อนสูงมาก และเมื่อตรวจสอบข่าวลือในพื้นที่ก็พบว่า มีการสร้างกระแสสวนทางกับบทสรุปของฝ่ายความมั่นคง นั่นคือกระจายข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อแก้แค้นที่ "คนของรัฐ" ตกเป็นเหยื่อไปหลายรายในรอบ 20 วันที่ผ่านมา

เป้าหมายชัดเจนว่าต้องการ "ตอกลิ่ม" ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชาวมลายูมุสลิมในพื้นที่ ระหว่างผู้คนสองศาสนา และยกระดับสถานการณ์ไปพร้อมกัน

โจทย์ของรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงก็คือ เหตุใดสิ่งที่เรียกว่า "เดินมาถูกทางแล้ว" และ "เอาชนะได้ทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี" จึงถูกตอบโต้สวนกลับได้อย่างรุนแรงเช่นนี้...หรือนั่นเป็นเพียงภาพลวงตา?

ที่สำคัญเป็นสถานการณ์ความรุนแรงในช่วงที่งบด้านการทหารกำลังถูกตั้งคำถาม จากสังคมและฝ่ายการเมือง ซึ่งนี่คืออีกหนึ่งคำถามที่ฝ่ายความมั่นคงต้องตอบให้ได้เช่นกัน

แนวรบที่ชายแดนใต้กำลังสร้างโจทย์ข้อใหญ่ที่รัฐคงก้าวข้ามไม่ง่ายอย่างที่คิด!

 
(บางส่วนของรายงานชิ้นนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หน้าในประเทศ ฉบับวันที่ 10 มิ.ย.2552)

ที่มา: http://www.isranews.org/cms/