Showing posts with label ปฏิรูปที่ดิน. Show all posts
Showing posts with label ปฏิรูปที่ดิน. Show all posts

Tuesday, January 19, 2010

เขายายเที่ยง

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
เสียดายที่ผมไม่ได้เป็นโฆษกของสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะผมน่าจะให้เหตุผลที่ไม่ฟ้องพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ดีกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกัน สำนักงานอัยการสูงสุดก็คงพังไปมากกว่านี้ด้วย หากได้ผมไปเป็นโฆษก

เหตุผลที่ท่านโฆษกแถลงการณ์ไม่ฟ้องพลเอกสุรยุทธ์ก็คือ ไม่มีเจตนา ในทรรศนะของผมแล้ว นี่ฟังไม่ขึ้นเลยครับ

ซื้อที่ดิน 20 ไร่ โดยปราศจากเอกสารสิทธิใดๆ เพียงแต่แจ้งให้องค์กรปกครองท้องที่ทราบว่า ตนจะเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่เป็นรายต่อไป ผู้ซื้อทราบหรือไม่ว่า ลักษณะการซื้อขายที่ดินเช่นนี้ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมาย กรณีซื้อที่ดิน "มือเปล่า" เช่นนี้เกิดในเมืองไทยมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และเป็นที่รู้โดยทั่วไปว่า นี่เป็นการซื้อขายที่กฎหมายไม่รับรอง และมักจะเกิดในที่ดินซึ่งโดยกฎหมายแล้วซื้อขายไม่ได้ เช่น ป่าสงวน, พื้นที่ซึ่งรัฐมอบให้ประชาชนยากจนทำกิน, พื้นที่ ส.ป.ก. ฯลฯ

ผมยอมรับว่า ผู้ซื้อที่ดินประเภทนี้บางราย สามารถใช้อำนาจเงินหรืออำนาจทางอื่นของตน ไปทำให้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินออกเอกสารสิทธิให้ได้ในภายหลัง เป็นเอกสารสิทธิที่ออกให้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วรัฐก็ไม่สามารถตามไปเอาคืนได้ บางรายไม่สนใจว่าจะได้เอกสารสิทธิหรือไม่ แต่ใช้ที่ดินนั้นทำธุรกิจหากำไร และมักจะทำได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ โดยรัฐไม่เคยสนใจจะไปขับไล่แต่อย่างใด อย่างเดียวกับเปิดสถานบันเทิงในกรุงเทพฯโดยไม่ต้องขออนุญาต เพราะรัฐก็ไม่เคยไปตรวจสอบหรือปิดกิจการ ยกเว้นแต่เกิดเหตุไฟไหม้จนคนตาย หรือเปิดบ่อนให้อึกทึกเกินไปเท่านั้น

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กฎหมายไทยมีไว้ แต่มักไม่ค่อยได้บังคับใช้จริงจัง โดยเฉพาะกฎหมายที่ดินสาธารณะทั้งหลาย
หากเป็นชาวบ้านธรรมดา ซื้อขายที่ดินประเภทนี้โดยไม่รู้ว่าใบรับเงินเสียภาษีท้องที่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ ก็พอเข้าใจได้หรอกครับ แต่คนที่เป็นแม่ทัพภาค, แม่ทัพบก, ผบ.สส., องคมนตรี และนายกรัฐมนตรี บอกว่าสำคัญผิดในเรื่องการถือครองที่ดินประเภทนี้ จึงรับซื้อมาโดยไม่เข้าใจกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมาย จะฟังขึ้นหรือครับ
และถ้าพลเอกสุรยุทธ์รู้สถานะที่แท้จริงของที่ดินซึ่งตัวรับซื้อมาแต่ต้น จะบอกว่าไม่เจตนาได้หรือครับ

เจตนาคืออะไร ถ้าไม่ใช่ความรู้ว่าตัวทำอะไรอยู่ และมีผลกระทบอย่างไรต่อกฎหมายและสังคมโดยรวม หากแถลงเหตุผลที่ไม่ฟ้องพลเอกสุรยุทธ์อย่างนี้ จะมิเป็นการส่งสัญญาณให้คนมีเงินและมีอำนาจทั้งหลายรู้ว่า จงสั่งสมที่ดินประเภทนี้ไว้เถิด เพียงแต่อย่าซื้อโดยตรงจากชาวบ้านผู้ได้รับสิทธิทำกินบนที่ดิน หาชาวบ้านอื่นมารับซื้อไปก่อน แล้วท่านจึงค่อยรับซื้อต่อจากชาวบ้านรายที่สอง เพื่อแสดงว่าท่านไม่ได้มีเจตนาบุกรุกที่ดินอันเป็นสมบัติสาธารณะ อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือรัฐยึดที่ดินนั้นคืนไป แต่ท่านไม่มีความผิดตามกฎหมาย

เพราะฉะนั้น หากผมเป็นโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ผมจะไม่แถลงเหตุผลอย่างนี้เป็นอันขาด แต่ผมจะแถลงว่า เฮ้ย ใครๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ

นักกฎหมายไทยคงร้องกันขรมว่า พูดอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะไม่ว่ากฎหมายจะถูกละเมิดอย่างไร กฎหมายก็ยังเป็นกฎหมายอยู่นั่นเอง อย่างไรเสียก็ต้องรักษาความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของกฎหมายเอาไว้

แต่ผมซึ่งไม่เคยเรียนกฎหมายเลยกลับเห็นตรงกันข้าม ความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของกฎหมายไม่ได้มีขึ้นเพราะมันเป็นกฎหมาย หรือเพราะเคยถูกพิมพ์ในราชกิจจาฯ ถ้าความ "ศักดิ์สิทธิ์" เกิดได้เพียงเท่านั้น ผมเสนอให้เราเขียนกฎหมายเป็นภาษาบาลีดีกว่า จะได้เอาไว้สวดกันทุกเช้า-เย็นด้วย

ความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของกฎหมายเกิดขึ้นได้ เพราะถูกบังคับใช้เป็นประจำและอย่างสม่ำเสมอครับ กฎหมายใดไม่ถูกบังคับใช้เป็นประจำ หรือไม่ถูกบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอ กฎหมายนั้นก็หมดความ "ศักดิ์สิทธิ์" ลง หมดลงในชีวิตจริงของผู้คนนะครับ ไม่ว่านักกฎหมายจะร้องแรกแหกกระเชออย่างไรก็ตาม

กฎหมายที่บังคับให้ผู้ขี่จักรยานในถนนสาธารณะต้องมีใบขับขี่เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ยกเลิกกฎหมายนี้ แต่ไม่มีใครบังคับใช้มานานเต็มทีแล้ว จนกระทั่งหากตำรวจจราจรคนใดจับคนขี่จักรยานที่ไม่มีใบขับขี่ ผมคิดว่าผู้บังคับบัญชาควรสั่งขังตำรวจจราจรคนนั้นทันที เพราะ "มึงจะไถเขาแน่"

ในสหรัฐ ศาลยกฟ้องจำเลยมามากแล้ว หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า กฎหมายที่เขาละเมิด (ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่) เป็นกฎหมายที่ไม่เคยบังคับใช้เป็นปกติ หรือไม่ได้บังคับใช้อย่างสม่ำเสมอ

ในประเทศที่อำนาจตุลาการเป็นอิสระอย่างแท้จริง กล่าวคือ ไม่ใช่อิสระเฉพาะการบังคับบัญชาและระบบเงินเดือน แต่อิสระเข้าไปถึงวิธีคิดหรือสมองของผู้พิพากษาด้วย อำนาจตุลาการจะคอยถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารอย่างรัดกุมเสมอ กฎหมายที่ไม่ได้บังคับใช้เป็นปกติหรือไม่ได้บังคับใช้อย่างสม่ำเสมอ คือการมอบอำนาจให้รัฐอย่างไม่มีประมาณ เพราะรัฐอาจเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองได้ตามใจชอบ มีกฎหมายไว้ปราบปรามกดขี่เฉพาะคนที่เป็นศัตรูกับรัฐ จึงเป็นอันตรายต่อสังคมเสียยิ่งกว่าปล่อยผู้ละเมิดให้พ้นผิด... ครับ เพื่อผดุงความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของกฎหมายเอาไว้

หากโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดแถลงอย่างนี้ จะเปิดให้คนพากันละเมิดกฎหมายกันเป็นการใหญ่หรือไม่ เปิดครับ เปิดแน่เลย จนกลายเป็นเงื่อนไขบังคับให้กระบวนการยุติธรรมของไทยต้องเลิกเลือกปฏิบัติ หรือ "สองมาตรฐาน" ตามสำนวนของแกนนำเสื้อแดงเสียที และอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัญหาเรื่องการบุกรุกที่ดินสาธารณะนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงบ้านพักตากอากาศของพลเอกสุรยุทธ์เท่านั้น แต่รวมเป็นพื้นที่คงจะหลายล้านไร่ทั่วประเทศ จะแก้ไขกันอย่างไร ก็ต้องคิดอย่างจริงจังเสียที เพื่อให้เกิดทั้งสมรรถนะและความเป็นธรรมในสังคม

ฉะนั้น เมื่อพูดถึงพลเอกสุรยุทธ์กับเขายายเที่ยงแล้ว จึงอดที่จะพูดถึงเสื้อแดงกับเขายายเที่ยงด้วยไม่ได้

ตราบเท่าที่เสื้อแดงยังต่อสู้ให้ทักษิณ ผมเชื่อว่าพลังของเสื้อแดงมีแต่จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ (เช่นเดียวกับเสื้อเหลือง หากยังต่อสู้เพื่อขจัดทักษิณเป็นประเด็นหลัก ผมก็เชื่อว่าพลังของเสื้อเหลืองมีแต่จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน) ร้ายยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการดูแคลนคนไทยโดยทั่วไป ทั้งที่สวมและไม่ได้สวมเสื้อแดง

จะยกขึ้นไปบนเขายายเที่ยงก็ไม่ว่า แม้แต่จะเอาพลเอกสุรยุทธ์เป็นเป้าทางยุทธวิธีก็ไม่ว่าอีกเหมือนกัน เพราะทำให้เห็นรูปธรรมได้เด่นชัด แต่ขอโทษเถิดครับ ยุทธศาสตร์คืออะไรเล่าครับ หากยุทธศาสตร์มีเพียงเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ทักษิณ จะหวังให้คนส่วนใหญ่เข้าไปร่วมย่อมเป็นไปไม่ได้

เพราะการเลือกปฏิบัติด้วยสองมาตรฐานนั้นเป็นปัญหาแก่คนไทยทั้งประเทศ เป็นปัญหาเสียยิ่งกว่าที่ทักษิณโดนเสียอีก ยิ่งคิดเลยไปถึงการกระจายการถือครองที่ดินของไทย ก็ยิ่งจะเห็นปัญหามหึมาที่คนไทยส่วนใหญ่ต้องเผชิญอยู่เวลานี้ นั่นคือเข้าไม่ถึงที่ดิน ไม่ว่าจะเพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิต หรือเพียงเพื่อจ่อมอาศัยกินอยู่หลับนอนเหมือนมนุษย์ปกติ

อย่าคิดแต่เรื่องเกษตรกรรมเท่านั้นนะครับ การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเลวร้ายดังที่มีในประเทศไทย ย่อมหมายถึงการลงทุนภาคอุตสาหกรรมและบริการที่สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น เพราะต้องลงทุนซื้อที่ดิน (อันเป็นปัจจัยการผลิตที่ไม่ผลิต) ในสัดส่วนที่สูงมากของเงินลงทุน - ผมคิดว่าราคาที่ดินเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนมากกว่าสิ่งแวดล้อมที่ดีเสียอีก ไม่จำเป็นต้องขู่ว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะย้ายทุนหนีเพราะกรณีมาบตาพุด นักลงทุนญี่ปุ่นสามารถทำสกปรกในเมืองญี่ปุ่นได้เท่ากับมาบตาพุดหรือ คนไทยเป็นสัตว์ชั้นต่ำขนาดที่ไม่มีสิทธิจะมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดีเท่าพี่ยุ่นหรือ - นอกจากนี้ควรคิดเลยไปถึงแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการอีกมาก ที่น่าจะสามารถเช่าห้องพักได้ถูกลง จนกระทั่งมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นอีกด้วย หรือแม้แต่คนชั้นกลางจะสามารถวางดาวน์ผ่อนบ้านได้มากขึ้นด้วย

นี่เป็นตัวอย่างของปัญหาที่คนไทยเผชิญอยู่จำนวนมาก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทักษิณเลย รวมทั้งตัวทักษิณเองก็ไม่เคยมีประวัติว่าได้พยายามหรือแม้แต่คิดจะแก้ปัญหาการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน "สองมาตรฐาน" นั้นไม่ใช่คุณสมบัติพิเศษของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่เป็นมาตรการปกติที่รัฐบาลไทยทุกรัฐบาลทำมาอย่างต่อเนื่อง (ตั้งแต่สุโขทัย) แล้ว เราอยากได้ประชาธิปไตยก็เพื่อจะไม่มีใครถูกเลือกปฏิบัติอีกไงครับ

โดยไม่เกี่ยวอะไรกับทักษิณ เสื้อแดง (รวมทั้งเสื้อเหลือง) ต้องพูดถึงความไม่เป็นธรรมที่คนไทยส่วนใหญ่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร แรงงาน ผู้หญิง ผู้พิการ ผู้ติดเชื้อ ผู้ถูกท่องเที่ยว ผู้ถูก "พัฒนา" คนจน คนสลัม ผู้ค้ารายย่อย นักเรียนอาชีวะ ฯลฯ และต้องรณรงค์เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นคือผู้ที่ถูก "สองมาตรฐาน" เอารัดเอาเปรียบและกลั่นแกล้งมามากและนาน ทั้งมากและนานกว่าทักษิณเสียอีก

เหตุใดเราจึงต้องไปควักกระเป๋าและทนลำบากร่วมกับเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง เพื่อสนับสนุนหรือพิฆาตทักษิณ ในเมื่อเรามีปัญหาจริงในชีวิตจริงอีกมากมายที่ต้องเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลง ถึงทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ เราก็ต้องต่อสู้กับทักษิณเหมือนกับที่ต้องต่อสู้กับนายกฯ คนอื่นๆ นั่นแหละ


ที่มา : มติชนออนไลน์, 18 ม.ค. 53