Showing posts with label กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ. Show all posts
Showing posts with label กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ. Show all posts

Thursday, February 19, 2009

‘สมเกียรติ ตั้งนโม’ ยันใช้สิทธิเสนอแก้ไข ม.112 ตาม รธน.



สมเกียรติ ตั้งนโมยันใช้สิทธิเสนอแก้ไข ม.112 ตาม รธน. แนะหากเห็นว่าผิดให้ไปแจ้งความ 

 

คณบดีวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่ยืนยันลงชื่อเสนอแก้ ม.112 ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แนะคณาจารย์ที่ล่าชื่อขับ ไปศึกษารัฐธรรมนูญ หากเห็นว่าทำผิดให้ไปแจ้งความดำเนินคดี ยืนยัน ม.112 เป็นเครื่องมือทางการเมืองทำลายฝ่ายตรงข้าม กระเทือนสิทธิพลเมืองและไม่สามารถปกป้องสถาบันกษัตริย์ได้สมเจตนา จึงควรยกเลิกและตรากฎหมายใหม่ อธิการบดีแนะหากจะยื่นถอดถอน ต้องไปยื่นคำร้องที่สภา มช.

 

เมื่อ 16 ก.พ. รศ.สมเกียรติ ตั้งนโม คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เปิดเผยกับ กรุงเทพธุรกิจ ถึงกรณีที่คณาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ ออกแถลงการณ์และยื่นหนังสือให้สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถอดถอนออกจากตำแหน่ง คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ กรณีร่วมลงชื่อแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ม.112 ที่มี รศ.ใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นแกนนำคนสำคัญ โดย รศ.สมเกียรติกล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องการยื่นถอดถอน แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะยื่นถอดถอนหรือออกแถลงการณ์ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ และจะไม่ชี้แจงใดๆ เนื่องจากตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย

 

ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญฉบับเต็มปี 2550 ได้ระบุแล้วว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิ์เสนอแก้ไขกฎหมายฉบับใดก็ได้ ไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งตนเองก็ขอย้ำอีกรอบว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ซึ่งอาจารย์ที่ร่วมออกแถลงการณ์ก็ควรจะกลับไปลองอ่านและศึกษารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวดู อย่างไรก็ตาม ถ้าใครเห็นว่าผิดก็ไปแจ้งความดำเนินคดีได้เลย ไม่มีปัญหา

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ รศ.ใจ หลบหนีการดำเนินคดีหมิ่นไปที่ประเทศอังกฤษนั้น ในฐานะที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนดังกล่าว รศ.สมเกียรติ กล่าวว่า ไม่อยากพูดถึงอาจารย์ใจอีก และขอปฏิเสธข่าวที่มีการนำเสนอคำพูดตนเองที่บอกว่าอาจารย์ใจหนีเอาตัวรอดคนเดียว” ไม่เป็นความจริง เพียงแต่บอกว่าอาจารย์ที่ร่วมเซ็นชื่อแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ ถูกหลอก

 

ต่อมา รศ.สมเกียรติยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับ “ประชาไท” วานนี้ (18 ก.พ.) ว่า เรื่องนี้เป็นการอาศัยเหตุการณ์ที่ตัวเขาร่วมลงชื่อในแถลงการณ์เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฉบับแรก ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิเสรีภาพทางวิชาการและการใช้ กม.อาญามาตรา 112 ในการเป็นเครื่องมือทางการเมืองทำลายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งอาจารย์วิจิตรศิลป์ใช้กรณีดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการปลดเขาจากการเป็นคณบดี

 

คณบดีไม่ใช่ศาลพระภูมิที่มีไว้กราบไหว้ คณบดีในมหาวิทยาลัยต้องยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ และเมื่อเห็นอะไรไม่เป็นไปตามครรลองหรือเจตนารมณ์ของกฎหมาย ควรจะนิ่งเฉยหรือ กรณีนี้เกี่ยวกับ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือได้โดยง่าย สามารถนำขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมได้โดยลำพังโดยไม่ผ่านการกลั่นกรอง ย่อมกระทบกระเทือนสิทธิของพลเมือง และยังไม่สามารถปกป้องสถาบันกษัตริย์ได้สมเจตนา ดังนั้นจึงเห็นควรยกเลิกและตรากฎหมายใหม่ขึ้นมา ตามสิทธิประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมืองตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 163”

 

รศ.สมเกียรติยังกล่าวด้วยว่า "เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งภายในคณะวิจิตรศิลป์ เป็นเรื่องของกลุ่มอำนาจเก่าที่สูญเสียอำนาจ มีใบปลิวโจมตีผมก่อนที่จะได้รับการเลือกตั้งเป็นคณบดี และตลอดเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่ ก.ค. 51)ซึ่งผมดำรงตำแหน่งคณบดี คนกลุ่มนี้เป็นพวกที่โหนกระแส เป็นพวกโดยสารฟรี (Free Rider) อาศัยเหตุที่ผมไปลงชื่อกับแถลงการณ์ อ.ใจ อึ๊งภากรณ์ (แถลงการณ์เสนอแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112) เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ และการใช้ประโยชน์กฎหมายอาญา ม.112 เป็นเครื่องมือทางการเมืองทำลายกัน โดยไม่ได้เป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นประเด็นที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นำเรื่องนี้มาพิจารณาในรอบ 20 ปี (ดูบทความลำดับที่ 899 เรื่อง "คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ : พิทักษ์สถาบันหรือเครื่องมือคุกคามประชาชน")

 

ที่สำคัญคือ ผมลงชื่อในฐานะสมาชิกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ในฐานะพลเมืองไทยที่เสียภาษี ในฐานะที่ได้รับการรับรอง"สิทธิในการมีส่วนร่วมในทางการเมือง"ตามรัฐธรรมนูญ จะมาบิดเบือนว่าผมเป็นคณบดีวิจิตรศิลป์แล้วทำอย่างนี้ไม่ได้ คำถามของผมคือ เรื่องนี้ตราไว้เป็นกฎข้อบังคับใดในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือถ้ามีอยู่จริงก็ขัดรัฐธรรมนูญ" รศ.สมเกียรติกล่าว

 

ด้านหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน กรอบบ่าย วันที่ 17 ก.พ. รายงานว่า ศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงกรณีถอดถอน รศ.สมเกียรติว่า หากจะยื่นถอดถอนตำแหน่งใคร ต้องไปยื่นคำร้องที่สภา มช.

 

 

(www.prachatai.com/05web/th/home/15623)  


 

 

การเสนอแก้ไขกฎหมายคือเสรีภาพพื้นฐานของพลเมือง



แถลงการณ์ ม.เที่ยงคืน: การเสนอแก้ไขกฎหมายคือเสรีภาพพื้นฐานของพลเมือง  

 

หมายเหตุเมื่อวันที่ 16 ก.พ. มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเผยแพร่แถลงการณ์เรื่อง

 การเสนอแก้ไขกฎหมายคือเสรีภาพพื้นฐานของพลเมือง”    ผ่านทาง www.midnightuniv.org ยืนยันการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 กระทำได้ในฐานะของพลเมืองและเป็นเสรีภาพที่ต้องได้รับการเคารพ ความพยายามบิดเบือนว่าผู้เสนอแก้ไขหรือยกเลิกให้กลายเป็นบุคคลที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักการของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง อีกทั้งเป็นการคุกคามการแสดงความเห็นอันเสรีของพลเมือง 

 

 

แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

การเสนอแก้ไขกฎหมายคือเสรีภาพพื้นฐานของพลเมือง

 

การกระทำอันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นกฎหมายเรื่องหนึ่งที่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนในสังคมไทยอย่างสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมาซึ่งมีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นรุนแรง กฎหมายนี้ก็ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างกว้างขวาง

 

แม้ว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายจะต้องการมุ่งปกป้องสถาบันกษัตริย์จากการถูกล่วงละเมิดโดยไม่ชอบ แต่ในความเป็นจริงได้มีการกล่าวหากับบุคคลเป็นจำนวนมากว่ากระทำความผิดในข้อหานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการกระทำหลายประการที่อาจมิได้เข้าข่ายต่อสิ่งที่เป็นความผิดในกฎหมาย เช่น การนำพระราชดำรัสมาพิมพ์เป็นสติ๊กเกอร์ ถ้อยคำบางคำที่ถูกตีความในทางลบต่อสถาบันกษัตริย์ การกระทำซึ่งเป็นการเพิกเฉยต่อสัญลักษณ์ของสถาบัน ฯลฯ

 

นอกจากนั้น ในส่วนของกระบวนการยุติธรรมก็ยังเกิดข้อสงสัยว่า ได้มีการดำเนินไปอย่างเป็นธรรมเพียงพอหรือไม่ บุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาหลายคนไม่ได้รับการประกันตัว การได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐที่แตกต่าง อันเนื่องจากถูกมองว่าเป็นข้อหาที่ละเมิดต่อเบื้องสูง ซึ่งล้วนแต่ขัดต่อหลักการของรัฐธรรมนูญที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า "ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำตัดสินของศาลเกิดขึ้น"

 

ด้วยเหตุที่การเริ่มคดีดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยง่าย กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองระหว่าง บุคคลหรือกลุ่มต่างๆ ภายใต้การกล่าวอ้างความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในเรื่องนี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะกับฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง เกือบทุกฝ่ายต่างก็ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

 

ภายใต้สภาวการณ์ที่กฎหมายได้ทำให้เกิดปัญหาขึ้นเช่นนี้ การเสนอความเห็นเพื่อให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายจึงเป็นเสรีภาพพื้นฐานของพลเมืองในสังคมที่จะกระทำได้ ซึ่งการแก้ไขนี้อาจนำไปสู่ทางออกในหลายรูปแบบ ซึ่งขึ้นกับความเห็นและมติของสังคมจะถกเถียง แลกเปลี่ยน และผลักดันความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายให้เกิดการยอมรับในสังคมอย่างไร

 

บุคคลผู้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายไม่ว่าจะเป็นไปด้วยการเสนอให้ปรับปรุงเล็กน้อย หรือมาก หรือแม้กระทั่งให้ยกเลิกก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแก้ไขนี้ ซึ่งทั้งหมดสามารถที่จะกระทำได้ในฐานะของพลเมืองและเป็นเสรีภาพที่ต้องได้รับการเคารพ ความพยายามบิดเบือนว่าผู้เสนอแก้ไขหรือยกเลิกให้กลายเป็นบุคคลที่ไม่จงรัก ภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักการของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง อีกทั้งเป็นการคุกคามการแสดงความเห็นอันเสรีของพลเมือง

 

หัวใจสำคัญประการหนึ่งของการทำให้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการการกลั่นแกล้งทางการเมือง ก็ด้วยการร่วมขบคิดถึงปัญหาและแสวงแนวทางแก้ไขที่เปิดให้ทุกฝ่ายได้เข้ามาร่วมถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างเสรี และเคารพซึ่งศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของซึ่งกันและกัน

 

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

16 กุมภาพันธ์ 2552

 

 

(www.prachatai.com/05web/th/home/15589)