Showing posts with label กฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ. Show all posts
Showing posts with label กฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ. Show all posts

Tuesday, August 12, 2008

สมัชชาคนจนค้าน พ.ร.บ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ

10 ส.ค. 51 – สมัชชาคนจนออกแถลงการณ์เรียกร้อง ให้ยกเลิกการเสนอ ร่าง พ.ร.บ. การจัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ. .. และให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งเจรจาและแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนโดยเร่งด่วน


แถลงการณ์สมัชชาคนจน


เรื่อง คัดค้าน พ.ร.บ. จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ
และเร่งให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน


สมัชชาคนจน เป็นกลุ่มองค์กรชาวบ้านที่รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการดำเนินโครงการของรัฐทั้งที่เป็นประเภทนโยบาย กิจกรรมโครงการต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ประกอบด้วยเครือข่าย ทั้งหมด 7เครือข่าย คือ 1. เครือข่ายที่ดิน 2. เครือข่ายป่าไม้ 3. เครือข่ายเขื่อน 4. เครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงาน 5. เครือข่ายประมงพื้นบ้าน 6. เครือข่ายสลัม 7. เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก

ที่ผ่านมา สมัชชาคนจนได้มีข้อเรียกร้องในการแก้ไขปัญหาต่อรัฐบาลตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา แต่การแก้ไขไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ การชุมนุมเรียกร้องทั้งในพื้นที่ที่เกิดปัญหา และมาเรียกร้องถึงทำเนียบรัฐบาล รวมไปถึงการชุมนุมที่ยาวนานปี 2539 นานถึง 99 วัน เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ของกลุ่มผู้ได้รับเดือดร้อนจากปัญหาต่าง ๆ การชุมนุมของพี่น้องคนจนที่ผ่านมาได้ปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และสิทธิอันพึงมี ที่นานาอารยประเทศปฏิบัติกัน เมื่อมีสมาชิกสภาผู้แทนในนามพรรคพลังประชาชน ได้เสนอ ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบการชุมนุม ซึ่งมีเนื้อหาขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะการชุมนุม เป็นสิทธิอันพึงมีของประชาชนที่จะเสนอให้มีการแก้ไขในรูปแบบต่างได้

ดังนั้นสมัชชาคนจน ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการที่รัฐบาลโดยการนำเสนอของ นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนเตรียมเสนอ “ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ. ...” เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อตราเป็นกฎหมายบังคับใช้กับสาธารณะชนทั่วไป พวกเรา “สมัชชาคนจน” เห็นว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ เป็นการดำเนินการนำเสนอกฎหมายที่ขัดต่อการแสดงสิทธิอันชอบธรรมของกลุ่มต่าง ๆ ที่จะดำเนินการไม่ได้ และจะถูกดำเนินคดี ทั้งผู้ชุมนุมและผู้สนับสนุน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะขออนุญาตการชุมนุม แล้วจะได้รับอนุญาต เพราะที่ผ่านมา การชุมนุมก็ถูกละเมิดจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐอยู่แล้ว เช่น การสกัดไม่มีการชุมนุม การตรวจค้น พยายามตั้งข้อหาต่าง ๆ แต่ในร่างกฎหมายดังกล่าว ได้กล่าวโทษที่มีความผิดรุนแรงไว้ จึงไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ที่ให้สิทธิชุมนุมได้

ปัจจุบันนับตั้งแต่รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช ได้บริหารประเทศมาครบ 6 เดือนแล้ว แต่การแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด แม้ได้รับการประสานให้มีการเจรจาในโครงการที่อยู่ภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น จ.แพร่ เขื่อนโป่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ เขื่อนหัวนา เขื่อนราศีไศล จ.ศรีสะเกษ เขื่อนท่าแซะ จ.ชุมพร เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี และกรณีประมงพื้นบ้านภาคใต้ 14 จังหวัด ซึ่งจะมีการเจรจาเบื้องต้นในวันที่ 18 สิงหาคม 2551 นี้เท่านั้น

ส่วนกรณีอื่น ๆ ยังไม่ได้การติดต่อให้มีการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาประกอบด้วย

1. ปัญหาที่ดินและที่ราชพัสดุ ในความรับผิดชอบของ กระทรวงมหาดไทย และกรมธนารักษ์

2. ปัญหาป่าไม้ ประเภทพื้นที่อยู่ในป่าอนุรักษ์ ในความดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย

3. ปัญหาผู้ป่วยจากการทำงาน ในความผิดชอบของ และกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงาน

4. ปัญหาเขื่อนผลิตไฟฟ้า เช่น เขื่อนปากมูล ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาของคนจนในระดับรากหญ้า แต่ไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งมีมากกว่า 100 กรณี ทำให้เกิดปัญหาต่อความมั่นคงในการดำรงอยู่ของประชาชนอย่างปกติสุข ดังนั้นจึงเห็นว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องดำเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน

จากการประชุมพ่อครัวใหญ่ สมัชชาคนจน ระหว่างวันที่ 9-10 สิงหาคม 2551ที่กรุงเทพฯ มีมติร่วมกัน ที่จะเรียกร้องต่อรัฐบาล ในการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ. ... และปัญหาการแก้ไขสมัชชาคนจนดังนี้

1.ให้ยกเลิกการเสนอ ร่าง พ.ร.บ. การจัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ. ..

2.ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งเจรจาและแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนโดยเร่งด่วน


ด้วยจิตคาราวะ

สมัชชาคนจน


( http://www.prachatai.com/05web/th/home/13150 )

ไทยควรมี พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะหรือไม่

โดย พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาอัสสัมชัญ


เสรีภาพในการชุมนุม หรือที่ต่างประเทศเรียกกันว่า freedom of association หรือ freedom of assembly ถือเป็นสิ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างกล่าวอ้างอยู่บ่อยครั้ง เพื่อให้กลุ่มของตนเองดำเนินการชุมนุมต่อไปได้ ทำให้เสรีภาพในการชุมนุม กลายเป็นเสรีภาพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในทันทีที่มีการกล่าวอ้างว่า "เสรีภาพในการชุมนุมนั้น ได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญอันถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ"

อย่างไรก็ดี ยังมีผู้อื่นซึ่งได้รับผลกระทบต่อการใช้เสรีภาพอันศักดิ์สิทธิ์ข้างต้นนั้น นั่นคือ ประชาชนทั่วไปที่ไม่อาจใช้ถนนในการสัญจรเฉกเช่นตนเองเคยใช้อยู่เป็นนิจ

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฝ่ายผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมดังกล่าวก็ย่อมกล่าวอ้างได้ว่า ตนเองมี "เสรีภาพในการเดินทาง" อันเป็นเสรีภาพหนึ่งที่รัฐธรรมนูญรับรองและคุ้มครองให้เช่นเดียวกัน จุดนี้จึงเป็นการหนีไม่พ้นถึงความขัดแย้งกันของกลุ่มบุคคลทั้งสองฝ่าย

นอกจากนี้ความขัดแย้งในการชุมนุม อาจเกิดจากกลุ่มสนับสนุนและกลุ่มต่อต้านที่มาประจันหน้ากัน ซึ่งเราก็ได้เห็นกันมาแล้วในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13, 24 กรกฎาคม และในหลายจังหวัด ระหว่างกลุ่มที่ต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บนเหตุผลที่ว่า การชุมนุมของฝ่ายพันธมิตร สร้างความวุ่นวายการชุมนุมปราศจากความชอบธรรม อีกทั้งเป็นการพยายามล้มล้างระบอบประชาธิปไตย

หากจะถามว่า ในต่างประเทศเคยประสบพบเจอกับปัญหาในเรื่องกลุ่มผู้ชุมนุม 2 ฝ่าย หรือหลายฝ่าย ปะทะกันหรือปัญหาที่บุคคลที่ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมเหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ ขณะนี้หรือไม่นั้น

ขอตอบว่า ก็ย่อมต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วในอารยประเทศที่มีประวัติศาสตร์ในเรื่องของการเรียกร้องระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน เช่น ประเทศเยอรมนี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ก็เจอกับปัญหาข้างต้นมาแล้วทั้งสิ้น

ท้ายที่สุด ประเทศเหล่านั้นจึงเกิดแนวความคิดในการตราตัวบทกฎหมายว่าด้วยเรื่องของการชุมนุมขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการอ้างหรือยืนยันต่อบุคคลอื่นซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐว่า ตนได้ดำเนินกิจการอันได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญก็ดี หรือปัญหาการบริหารจัดการของเจ้าพนักงานของรัฐต่อกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง

รวมถึงการป้องกันการเผชิญหน้ากันของผู้ชุมนุมหลายกลุ่มอันจะนำไปสู่การปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมนั่นเอง

ก่อนอื่นพวกเราจำต้องพึงตระหนักไว้ก่อนว่า สิทธิและเสรีภาพในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญอาจแบ่งแยกออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกันคือ

1.สิทธิและเสรีภาพภาพแบบสัมบูรณ์ หรือ absolute rights or liberties
2.สิทธิและเสรีภาพแบบสัมพัทธ์ หรือ relative rights or liberties

ซึ่งสิทธิและเสรีภาพประเภทแรกคือ สิทธิและเสรีภาพที่รัฐมิอาจจำกัดได้อันมีอยู่แค่อย่างเดียวนั่นก็คือเสรีภาพในการนับถือศาสนา

ส่วนสิทธิและเสรีภาพอีกประเภทหนึ่งหรือสิทธิและเสรีภาพแบบสัมพัทธ์นั้น เป็นสิทธิและเสรีภาพที่เปิดโอกาสให้รัฐสามารถจำกัดหรือควบคุมการใช้ได้หากปรากฏซึ่งความจำเป็นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เช่น เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในการที่จะใช้ทางสาธารณะ หรือเพื่อป้องกันการนำไปสู่เหตุการณ์อันวุ่นวายหรือเกิดจลาจลขึ้นในประเทศ เป็นต้น

แต่ทั้งนี้จำต้องมีการออกกฎหมายมาเป็นกิจจะลักษณะ และโดยส่วนมากแล้วกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งโดยมากก็จะออกมาในรูปของพระราชบัญญัติหรือรัฐบัญญัติแล้วแต่กรณี เพราะถือได้ว่ากฎหมายดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง

จากหลักการข้างต้นแล้ว การชุมนุมจึงถูกจัดอยู่ในเสรีภาพแบบสัมพัทธ์ซึ่งส่งผลให้รัฐสามารถตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อจำกัดสิทธิได้นั่นเอง

ซึ่งแม้แต่ในรัฐธรรมนูญไทยเองก็ได้บัญญัติไว้ชัดในมาตรา 63 วรรค 2 ว่าเสรีภาพในการชุมนุมสามารถถูกจำกัดได้

ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ในต่างประเทศนั้นก็เคยได้เจอกับปัญหาของการชุมนุมกันอย่างมากมายจนกระทั่งมีการผลักดันตัวกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมขึ้นมา

เช่น ในประเทศเยอรมนีนั้น มีรัฐบัญญัติว่าด้วยการชุมนุม ซึ่งกฎหมายนี้ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ในการชุมนุมไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสถานที่ชุมนุมว่า จะชุมนุมที่ใด หากเป็นการชุมนุมในที่สาธารณะก็จำต้องมีการแจ้งหรือบอกกล่าวล่วงหน้าโดยแกนนำหรือผู้ควบคุมการชุมนุมก่อนที่จะมีการชุมนุมดังกล่าว

หากดำเนินการชุมนุมไปโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าก็จะถือว่าการชุมนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก็หมายถึงว่า รัฐธรรมนูญก็จะไม่รับรองและคุ้มครองการชุมนุมดังกล่าว

อีกทั้งหากปรากฏว่า การชุมนุมนั้นๆ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนในเรื่องของการใช้เส้นทางการจราจรหรืออาจนำไปสู่การจลาจล หรือมีผลให้ทรัพย์สินของรัฐเสียหาย การนี้รัฐสามารถดำเนินการสลายการชุมนุมได้

หลักการดังกล่าวสอดคล้องต้องกันกับกฎหมายและหลักกฎหมายของประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ เอสโตเนีย มอนเตเนโกร โครเอเชีย และสหรัฐอเมริกา

กล่าวคือ กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมเหล่านั้นก็จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เหมือนๆ กับที่กล่าวไปแล้วในรัฐบัญญัติของประเทศเยอรมนี จะผิดแผกแตกต่างกันก็แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น

เช่น ในเรื่องของระยะเวลาในการแจ้งหรือบอกกล่าวล่วงหน้าสำหรับการชุมนุมซึ่งอาจจะเป็น 2 วัน หรือ 3 วัน เป็นต้น

หรือจะเป็นรูปแบบในการบอกกล่าวล่วงหน้าที่จะต้องทำเป็นหนังสือตามแบบที่ตัวกฎหมายกำหนดว่า ต้องระบุข้อมูลเกี่ยวกับชุมนุมอย่างไรบ้าง

แต่หลักๆ ก็จะเหมือนกันแทบทั้งสิ้นว่า หากการชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมในทางสาธารณะต้องมีการแจ้งล่วงหน้า อันหมายถึงว่า หากเป็นการชุมนุมในที่ส่วนบุคคลนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติให้ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าทางรัฐก็อาจจะดำเนินการสลายการชุมนุมหากปรากฏว่า ต้องด้วยเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือการชุมนุมดังกล่าวมีผลต่อการใช้เส้นทางสาธารณะของผู้อื่นหรือการชุมนุมนำไปสู่การจลาจลในประเทศ

อย่างไรก็ดี หากเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการเกินกว่าเหตุ ผู้ชุมนุมก็อาจนำเรื่องไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลได้เข้ามาตรวจสอบหรือเยียวยาการกระทำการของรัฐดังกล่าวได้

ผู้เขียนเห็นว่า จึงเป็นเรื่องดีที่ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะได้ดำเนินการออกกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมขึ้นมาอย่างชัดเจนเสียที ทั้งนี้ ก็เพื่อตัดปัญหาการยกตัวบทของรัฐธรรมนูญมาอ้างยันกันไปยันกันมาว่า ตนเองนั้นต่างก็มีสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการรับรองจากกฎหมายสูงสุดซึ่งใครก็จะมาแตะต้องไม่ได้ให้หมดไป

นอกจากนี้ยังเห็นว่าหากเรามีตัวบทกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมที่ชัดเจนก็จะเป็นการดี เพราะภายใต้กฎหมายนี้จะมีการระบุหรือกำหนดถึงกฎเกณฑ์และกติกาในการชุมนุมออกมาอย่างชัดเจนอันส่งผลไปยังความสะดวกของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้ดำเนินการชุมนุมก็ดี และในส่วนของภาครัฐที่จะได้ดำเนินการรับมือกับการการชุมนุมที่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

และที่สำคัญก็คือจะได้เป็นกลไกในการป้องกันการปะทะกันระหว่างกลุ่มของผู้ชุมนุมด้วยกันเองอย่างที่เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ บุรีรัมย์ อุดรธานี ฯลฯ ที่ผ่านมา เนื่องจากว่ากฎหมายว่าด้วยการชุมนุมนั้นได้มีการจัดระบบระเบียบไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแกนนำหรือผู้นำในการชุมนุมที่จะต้องควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมให้เป็นไปตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ในตัวกฎหมาย หรือจะเป็นสถานที่ของการชุมนุมเองก็ดี ซึ่งก็หมายความว่าจะต้องมีการจัดสถานที่การชุมนุมที่เป็นสัดเป็นส่วน

ในระหว่างที่เรายังไม่มีตัวบทกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมข้างต้นเหมือนกับต่างประเทศเขา ผู้เขียนอยากให้ผู้ชุมนุมทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ควรที่จะต้องรู้ขอบเขตของตนเอง ว่าการชุมนุมขนาดไหน แบบไหนจะได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเราต้องตระหนักในหลัก "สิทธิในเสรีภาพ" ของผู้อื่นด้วย หากทุกคนคิดได้อย่างนี้เหตุการณ์โกลาหลต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น


( http://www.pub-law.net/publaw/View.asp?publawIDs=1251)