Showing posts with label สมชาย ปรีชาศิลปกุล. Show all posts
Showing posts with label สมชาย ปรีชาศิลปกุล. Show all posts

Wednesday, October 21, 2009

มาตรฐานในการตัดสิทธิทางการเมือง


Mon, 2009-10-19 17:26

สมชาย ปรีชาศิลปกุล
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คำถามที่อยากชวนให้ช่วยกันขบคิด เฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง กกต.ถ้าให้คำตอบที่มีเหตุผลได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่สังคมการเมืองไทยไม่น้อย รวมทั้งทำให้ผู้เขียนหายความคับข้องใจได้

ในท่ามกลางการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากทางด้านรัฐสภา นายกรัฐมนตรีได้เชิญบรรดาบุคคลเป็นจำนวนมากให้มาร่วมประชุมเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าควรจะดำเนินการไปในลักษณะเช่นไรบ้าง การประชุมจัดขึ้นที่บ้านพิษณุโลกในช่วงเย็นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2552 และเมื่อเย็นวันที่ 13 ตุลาคม 2552

บุคคลสำคัญที่ได้มาเข้าร่วมการประชุมนี้ส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองจากพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลที่ต้องใส่ใจก็คือมีหลายคนเป็นผู้ที่ได้เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เพิกถอนสิทธิในทางการเมือง เช่น คุณเนวิน ชิดชอบ คุณสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และอีกหลายคนที่แม้จะไม่ได้มีสถานะเป็นผู้บริหารพรรคในทางนิตินัยก็ตาม

สื่อมวลชนรายงานข่าวไม่แตกต่างกันว่าเป็นการพบปะเลยประชุมร่วมกันของแกนนำของแต่ละพรรคการเมือง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ดูเหมือนจะยอมรับความสำคัญของบุคคลเหล่านี้ในพรรคการเมืองต่างๆ เพราะไม่ได้มีการปฏิเสธเกิดขึ้นแต่อย่างใด ภายหลังการประชุมคุณอภิสิทธิ์ก็ยังได้ชี้แจงถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งตกลงกันระหว่างผู้ประชุม

ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากเป็นคำถามว่าในฐานะที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง บุคคลที่เข้าร่วมการประชุมกับคุณอภิสิทธิ์ในฐานะแกนนำหรือตัวแทนของพรรคการเมืองสามารถจะกระทำเช่นนั้นได้หรือไม่

การเพิกถอนสิทธินักการเมืองหรือที่เรียกกันว่าการตัดสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองจำนวนมากด้วยคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญ ได้นำมาซึ่งข้อถกเถียงว่าการตัดสิทธิทางการเมืองนั้นมีความหมายครอบคลุมกว้างขวางเพียงใด สำหรับการกระทำบางอย่างมีบทบัญญัติที่กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน เช่น เพิกถอนสิทธิในการลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 5 ปี ห้ามดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง

แต่การกระทำหลายอย่างก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะสามารถกระทำได้หรือไม่ หรือหากกระทำไปแล้วจะมีขอบเขตจำกัดเอาไว้ในลักษณะเช่นไร ดังการมีบทบาทในการช่วยผู้อื่นหาเสียงในการเลือกตั้งจะสามารถกระทำได้หรือไม่ หรือหากเป็นเพียงแค่การถ่ายรูปคู่กับผู้รับสมัครเลือกตั้งเท่านั้นโดยไม่มีการพูดอะไรแม้แต่สักคำเดียว

ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ได้กลายเป็นข้อถกเถียงในคราวเลือกตั้งครั้งล่าสุด และได้มีคำวินิจฉัยไว้อย่างน่าสนใจจากทาง กกต.ว่าการช่วยหาเสียงให้กับบุคคลผู้ลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญของกรรมการบริหารพรรคการเมือง ดังนั้น บุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองย่อมไม่สามารถทำหน้าที่ในลักษณะเช่นนี้ได้

ประเด็นสำคัญของการวินิจฉัยก็คือ การพิจารณาจากบทบาทที่เป็นจริงของบุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองว่ามีอยู่ในลักษณะเช่นไร หากทำหน้าที่ในแบบเดียวกับที่กรรมการบริหารพรรคกระทำก็ควรต้องถูกห้าม แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองด้วยการระบุชื่ออยู่ในทะเบียนอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม

เหตุผลแบบที่กล่าวมานี้ก็น่าจะรับฟังเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากไปมองแค่ชื่อในทะเบียนพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว เราก็อาจเห็นบรรดาผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองทั้งหลายเข้าไปยุ่มย่ามในพรรคการเมืองเต็มไปหมดแต่ไม่ปรากฏชื่อเป็นกรรมการบริหารของพรรค รวมถึงอาจไปชี้นิ้วสั่งซ้ายหันขวาหันในพรรคการเมืองได้

แต่พอมานึกถึงการประชุมระหว่างคุณอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีกับผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเพื่อคุยกันเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ชวนให้สงสัยเป็นอย่างยิ่ง

บุคคลต่างๆ เหล่านี้มาประชุมในฐานะแกนนำของพรรคการเมืองสถานะดังกล่าวเป็นที่ยอมรับและรับรู้กันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองก็ตาม การกำหนดแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นที่เข้าใจร่วมกันระหว่างพรรคการเมืองก็ย่อมต้องให้บุคคลที่มีพลังอยู่ในพรรคมาร่วมประชุม ส่วนหนึ่งก็คงต้องเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ปรากฏรายชื่อเป็นตัวหนังสือชัดเจนแต่อีกหลายคนซึ่งอาจใหญ่กว่าชื่อที่ถูกเขียนอย่างเป็นทางการก็ได้มาเข้าร่วมด้วย

เมื่อตกลงเป็นที่เข้าใจร่วมกันแล้ว ก็จะนำไปสู่ปฏิบัติการในทางการเมืองซึ่งแต่ละพรรคต่างก็ล้วนต้องปฏิบัติตามตามแนวทางที่ได้ตกลงกันเอาไว้

จะปฏิเสธหรือว่าการประชุมที่บ้านพิษณุโลกที่ร่วมด้วยบรรดาผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเพียงลูกกระจ๊อกปลายแถว เอาเข้าจริงนี่คือเจ้าของพรรคการเมืองตัวจริงเสียงจริงมากกว่าที่ถูกอุปโลกน์กันเสียอีก

ไม่แน่ใจว่าทาง กกต.จะมีคำอธิบายอย่างไรกับเหตุการณ์เหล่านี้ ดูเหมือนจะไม่มีความเห็นใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย ทั้งที่การประชุมที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นเรื่องแอบทำกันในห้องนอนเหมือนแอบมีเมียน้อย แต่โจ่งแจ้งและบอกกล่าวล่วงหน้ามาอย่างชัดเจน จึงมีความหมายไปอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเดาว่าเพราะเห็นว่าการกระทำนี้ไม่ได้ขัดต่อข้อห้ามในเรื่องตัดสิทธิทางการเมือง

อันนี้เป็นปัญหาสำคัญที่ควรต้องตอบเพราะหากยึดเอาหลักการที่ กกต.วางเอาไว้ในการวินิจฉัยกรณีหาเสียงโดยผู้ตัดสิทธิทางการเมืองแล้ว บทบาทในการประชุมครั้งนี้โจ๋งครึ่มไม่น้อยไปกว่าการช่วยหาเสียงด้วยซ้ำ

คุณอภิสิทธิ์จะเชิญคุณเนวินมาร่วมประชุมในฐานะอะไรหรือ จะตอบว่าเป็นเพราะคิดถึงอ้อมกอดที่ทำให้ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็คงยากจะเชื่อได้

ได้เคยมีข้อกล่าวหาแบบนี้เกิดขึ้นบางแล้ว แต่คำชี้แจงที่เคยเกิดขึ้นก็คือว่าข้อเท็จจริงแตกต่างกันดังนั้นผลของการวิจัยจึงมีความแตกต่าง จำเป็นต้องกล่าวไว้ล่วงหน้าเลยว่ากรณีที่กำลังกล่าวถึงนี้ผู้เขียนก็ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างการช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งกับการร่วมประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ที่มาตรฐานในการวินิจฉัยการกระทำที่มีสาระในลักษณะเดียวกันว่าจะให้ผลอย่างไร

อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีความเห็นอย่างไรเกิดขึ้นกับองค์กรที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งในกรณีที่เกิดขึ้นกับฝ่ายที่ยืนตรงกันข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์ จำได้ไหมครับว่าในคราวถกเถียงเรื่องการมีบทบาทช่วยในการหาเสียงของผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง มีการให้ความเห็นทั้งส่วนตัวและองค์กรเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอย่างรวดเร็ว

แต่กลับกรณีการประชุมในครั้งนี้ทำไมถึงได้เงียบสนิทราวกลับว่าไม่มีองค์กรนี้อยู่ในสังคมไทย

ในท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่ยุติลง การทำหน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากทุกฝ่ายเป็นเงื่อนไขหนึ่งจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการนำสังคมไทยกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่นำเอาความขัดแย้งทางการเมืองเข้าสู่การวินิจฉัยขององค์กรทางการเมืองได้

ขอให้เข้าใจว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นกล่าวหาว่ามีการเลือกปฏิบัติหรือสองมาตรฐานเกิดขึ้น

แต่ต้องการตั้งคำถามถึงหลักการในการวินิจฉัยกรณีเรื่องตัดสิทธิทางการเมืองจะวางอยู่บนมาตรฐานอย่างไรต่างหาก

...............................
เผยแพร่ครั้งแรกใน มติชนรายวัน วันที่
19 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11545

ที่มา : http://www.prachatai.com/journal/2009/10/26262



Thursday, June 11, 2009

ความเป็นธรรมของภาษีที่ดิน



วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11416 มติชนรายวัน


ความเป็นธรรมของภาษีที่ดิน

โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล



ภาษีที่ดินได้กลับมาเป็นประเด็นในสังคมไทยอีกครั้งหนึ่ง รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้เหตุผลในการเสนอจัดเก็บภาษีที่ดินครั้งนี้ว่าเป้าหมายเป็นไปเพื่อความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประชาชน

แต่ความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำที่ว่าจะมีความหมายอย่างใดก็ยังไม่ที่เป็นชัดเจน การพยายามทำความเข้าใจกับเป้าหมายดังกล่าวจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพื่อทำให้การออกแบบระบบภาษีที่จะเกิดขึ้นสามารถนำไปสู่การปฏิบัติที่ตรงกับความคาดหวัง

ภายใต้ระบบกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินในปัจจุบัน ได้เกิดภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างถึงที่สุดในการบริหารจัดการที่ดินในสังคมไทย

ซึ่งเกิดขึ้นให้เห็นใน 2 ด้านด้วยกันคือ

ในด้านแรก มีผู้คนเป็นจำนวนมากที่ขาดแคลนที่ดินทำกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรรายย่อย การขาดแคลนที่ดินทำกินนี้ปรากฏทั้งในแง่ของการไม่มีที่ดินหรือมีแต่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต จึงต้องเช่าที่ดินจากผู้อื่นสำหรับทำการผลิตเพื่อเลี้ยงชีพ ข้อมูลจากหลายหน่วยงานยืนยันสอดคล้องกันว่ามีเกษตรกรจำนวนมากกว่า 1 ล้านครอบครัวซึ่งตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้

ด้านที่สอง ตรงกันข้ามกับการไร้ที่ดินของคนตัวเล็กๆ กลับพบว่ามีการกระจุกตัวในการถือครองที่ดินอยู่ในมือของชนชั้นสูงและชนชั้นนำของไทยเป็นจำนวนมาก ตัวเลขการถือครองที่ดินของนักการเมืองที่เปิดเผยออกมาในแต่ละครั้งก็ทำให้สาธารณชนได้มองเห็นว่าบรรดาคนกลุ่มนี้ต่างถือครองที่ดินไว้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักว่ายังมีข้อมูลของชนชั้นนำอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา

เฉพาะที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะก็ทำให้เกิดรู้สึกขนหัวลุกได้เป็นอย่างมาก มีงานวิจัยพบว่าในเขตกรุงเทพมหานครนั้น ผู้ถือครองที่ดินจำนวน 50 รายแรก (รวมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ถือครองที่ดินเป็นสัดส่วนถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของที่ดินทั้งหมดในกรุงเทพฯ น่าสนใจว่าหากดูไปถึงการถือครองที่ดินจำนวนครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯจะมีผู้ถือครองจำนวนเท่าใด ผู้เขียนคาดว่าอยู่ในการครอบครองของบุคคลในจำนวนหลักหมื่นเท่านั้น

ต้องไม่ลืมว่าประชากรในกรุงเทพฯอย่างไม่เป็นทางการก็ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน การที่คนหยิบมือเดียวเป็นเจ้าของที่ดินอันกว้างใหญ่ แต่คนส่วนน้อยดิ้นรนหาที่อยู่กันแทบประดาตาย จะบอกเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากต้องเข้าใจว่าสังคมไทยในยุคปัจจุบันก็ยังคงมีเจ้าที่ดินอยู่จริงๆ (ซึ่งก็อาจรวมคุณกรณ์ จาติกวณิช เข้าไปด้วยคนหนึ่ง)

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าข้อมูลงานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งที่เป็นข้อมูลอันสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย

ไม่ต้องกล่าวถึงในพื้นที่ต่างจังหวัด การกว้านซื้อที่ดินของบรรดาผู้มีอำนาจและผู้มีอันจะกินเพื่อการเก็งกำไรเป็นกิจกรรมการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มนี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความพยายามเข้าเป็นเจ้าของในที่ดินด้วยกระบวนการต่างๆ ทั้งที่เป็นไปตามกฎหมายหรือพยายามใช้ช่องโหว่ต่างๆ เช่น การปลอมตัวเป็นเกษตรกรของบรรดานายหัว นักธุรกิจ เพื่อรับสิทธิในการปฏิรูปที่ดินก็นับเป็นตัวอย่างอันหนึ่ง ทั้งที่ควรจะต้องให้ความสำคัญกับเกษตรกรที่ไร้ที่ทำกินเป็นลำดับแรก

ความพยายามในการเป็นเจ้าของที่ดินอย่างกว้างขวางไม่ได้มาพร้อมกับการมุ่งสร้างการผลิตให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการผลิตในภาคเกษตรกรรมหรือในภาคอุตสาหกรรมก็ตาม เป็นส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้างเอาไว้เพื่อรอวันให้ราคาที่ดินถีบตัวขึ้นสูง เมื่อนั้นผืนดินดังกล่าวก็พร้อมจะถูกปล่อยออกไปพร้อมกับกำไรที่ไหลเข้าสู่กระเป๋าของตน

ในห้วงเวลาวิกฤตเศรษฐกิจรอบที่แล้ว จึงได้มีภาพของเกษตรกรไร้ที่ทำกินเข้ายึดที่ดินซึ่งถูกทิ้งรกร้างว่างเปล่าเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่ของเกษตรกรเหล่านี้ก็ถูกดำเนินคดีอย่างเสมอภาคกันภายใต้กฎหมายสืบเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ภาพสองด้านที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงเช่นที่กล่าวมานี้แหละคือความเลวร้าย หรือพูดให้สุภาพมากขึ้นก็คือความไม่เป็นธรรมในระบบการจัดการที่ดินที่อยู่ในสังคมไทย

หากเป้าหมายของการจัดการที่ดินเพื่อสร้างความเป็นธรรมขึ้น ขั้นต่ำสุด ควรจะต้องเกิดขึ้นก็คือการทำให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินในระหว่างประชาชน ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อต้องมองว่าที่ดินมิใช่เป็นเพียงทุนส่วนบุคคลในการแสวงกำไรเข้ากระเป๋าอย่างเสรี แต่ที่ดินเป็นต้นทุนของสังคมในการผลิตและการดำรงชีวิตของคนส่วนใหญ่ การปล่อยให้มีการถือครองที่ดินขนาดใหญ่เป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนถึงคนอื่นที่อยู่ร่วมสังคมอย่างรุนแรง ต้องทำให้ประชาชนสามารถเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินได้อย่างเท่าเทียม

มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่จะทำให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินออกมาจากเจ้าที่ดินทั้งหลาย แต่มาตรการดังกล่าวนี้จะสามารถทำให้เกิดผลได้ก็ต่อเมื่อต้องทำให้เกิดภาระแก่ผู้ถือครองมากกว่าความคาดหวังที่จะเกิดจากการเก็งกำไรในอนาคต อัตราภาษีจึงต้องอยู่ในระดับที่สูงกว่าผลตอบแทนจากการเก็งกำไร และหากต้องการไม่ให้มีการถือครองในที่ดินขนาดใหญ่ก็จำเป็นต้องใช้อัตราภาษีก้าวหน้ากับผู้ถือครองในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น

และไม่ใช่เฉพาะการทำให้เกิดการกระจายในการถือครองที่ดินเท่านั้น การสร้างความมั่นคงในการถือครองของบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนตัวเล็กๆ ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน หากสามารถทำให้เกิดการกระจายการถือครองแต่ยังไม่มีหลักประกันที่มั่นคงกับเกษตรกรรายย่อย ก็เป็นไปได้ง่ายดายที่ที่ดินนั้นจะหลุดมือไปจากเกษตรกร

การขายที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของเกษตรกรซึ่งแม้กฎหมายจะไม่อนุญาตก็เป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันถึงความในข้อนี้

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะคัดค้านนโยบายการจัดเก็บภาษีที่ดินแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ผู้เขียนสนับสนุนอย่างสุดตัวและหัวใจในการจัดเก็บภาษีที่ดินแบบก้าวหน้า แต่ทั้งนี้เป้าหมายสำคัญต้องเป็นไปเพื่อทำให้เกิดการกระจายและการสร้างความมั่นคงในการถือครองที่ดินให้สามารถเกิดขึ้นได้จริง

เพียงแต่การเสนอมาตรการทางภาษีที่เกิดขึ้นโดยรัฐบาลในขณะนี้ แม้จะมีการกล่าวถึงความเป็นธรรมหรือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำก็ตาม แต่จะพบได้ว่าเป็นเพียงแค่ระบบอัตราภาษีธรรมดาที่จะไม่ได้ก่อให้เกิดภาระแก่ผู้ถือครองมาแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่มีการคิดถึงมาตรการอื่นที่จำเป็นจะต้องติดตามมาหากต้องการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นจริง

การคาดหวังว่าจะทำให้เกิดผลใดๆ ติดตามมาจากมาตรการนี้จึงยังคงเป็นเรื่องที่ไกลเกินไป ยกเว้นรายได้ที่จัดเก็บเข้ารัฐเท่านั้นซึ่งสามารถเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

หน้า 6

 

ที่มา  :  มติชนออนไลน์  




Wednesday, June 10, 2009

“ตัดสิทธิทางการเมือง?”



“ตัดสิทธิทางการเมือง?”

 

สมชาย  ปรีชาศิลปกุล

 

ยังพอจำกันได้ไหมครับว่า คุณเนวิน ชิดชอบนั้น ถูกลงโทษตัดสิทธิทางการเมืองอันเนื่องมาจากการยุบพรรคไทยรักไทย ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย


ถึงจะถูกลงโทษด้วยการเพิกถอนสิทธิทางการเมือง แต่ก็เป็นที่เห็นตำตากันอยู่จนไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คุณเนวินได้มีบทบาททางการเมืองอย่างสำคัญในห้วงเวลาปัจจุบัน แม้ว่าในทางนิตินัยแล้วยังอยู่ในช่วงเวลา 5 ปีของการลงโทษ แต่ในทางพฤตินัยจะบอกกันได้หรือว่า คุณเนวินไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องการดำเนินการทางการเมือง


และการมีส่วนเกี่ยวข้องในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงการมีส่วนร่วมแบบจิ๊บจ๊อยนะครับ แต่เป็นการมีส่วนร่วม อย่างมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองไทยอย่างลึกซึ้ง


ลองนึกถึงภาพกอดแห่งประวัติศาสตร์ระหว่างคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณเนวิน (อันเป็นภาพที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้น แต่ก็สามารถเกิดขึ้นด้วยความอัศจรรย์อย่างยิ่ง) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณเนวินได้ให้การสนับสนุนต่อพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดตั้งรัฐบาล แน่นอนว่า การสนับสนุนนี้ย่อมหมายรวมไปถึงบรรดาสมาชิกในกลุ่มที่ดำรงตำแหน่งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลในการยกมือสนับสนุนคุณอภิสิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล


หรือบทบาททางการเมืองที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในห้วงเวลาของรัฐบาลที่นำโดยคุณอภิสิทธิ์ เมื่อเกิดความขัดแย้งหรือข้อพิพาทระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเกิดขึ้น ในด้านหนึ่งต่างก็เป็นที่รับรู้กันอย่างชัดเจนว่า คุณเนวินเป็นผู้ที่กำกับทิศทางการทำงานของกลุ่มการเมืองหนึ่งอยู่ และอาจรวมถึงการสั่งขวาหันซ้ายหันของคนกลุ่มนี้


อันเป็นบทบาทในลักษณะเดียวกับที่เคยกระทำมาในห้วงเวลาที่ยังไม่ได้ถูกตัดสิทธิในทางการเมืองแต่อย่างใด


บทบาทในลักษณะดังกล่าว จึงทำให้การถูกตัดสิทธิทางการเมืองแทบจะไร้ความหมายไปในทันที ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. หรือไม่เป็น ส.ส. ก็ไม่เป็นผลให้บุคคลนั้นต้องถูกจำกัดบทบาทแต่อย่างไร จะมีความแตกต่างอยู่บ้างก็ในฐานะของการยกมือในการออกกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ได้เป็นบทบาทที่มีความสำคัญมากสักเท่าใดอยู่แล้ว


การตัดสิทธิทางการเมืองเป็นมาตรการหนึ่งที่บรรดานักร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะเขียนขึ้นมา บนความคาดหวังว่าจะเป็นเครื่องมือในการลงโทษบรรดานักการเมืองผู้ฉ้อฉลทั้งหลายให้หมดบทบาททางการเมือง และจะทำให้การเมืองของสังคมไทยเป็นเรื่องของความสะอาดบริสุทธิ์เฉกเช่นผ้าขาวที่ไร้รอยแปดเปื้อน


แต่ด้วยความเข้าใจต่อการเมืองไทยแบบตื้นเขินว่าจะสามารถใช้กฎหมายเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของการเมืองไทย โดยไม่ตระหนักถึงสัมพันธภาพทางอำนาจที่ดำรงอยู่จริง รวมทั้งไม่ยอมรับต่อความสามารถในการใช้อัตวินิจฉัยของประชาชนในการเลือกผู้แทน จึงมีการสร้างมาตรการหลายประการออกมา ทั้งโดยรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลายฉบับ


กรณีของคุณเนวิน บุรุษผู้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองแต่สามารถมีบทบาทอย่างโดดเด่นทั้งในระดับรัฐบาลและพรรคการเมือง น่าจะเป็นตัวอย่างสะท้อนถึงความล้มเหลวของการพยายามใช้ตัวหนังสือในการสร้างสังคมการเมืองขึ้นได้เป็นอย่างดี


แต่ทั้งนี้ก็ควรจะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ความล้มเหลวของการใช้มาตรการตัดสิทธิทางการเมืองเกิดขึ้นยังเป็นผลมาจากการไร้จุดยืนในทางหลักการของสังคมไทยด้วยเช่นกัน


หากยังจำกันได้ ในคราวการหาเสียงสำหรับเลือกตั้งที่จัดขึ้นภายหลังจากมีการยุบพรรคไทยรักไทย ได้มีบุคคลบางคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปร่วมกับผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการหาเสียง มีคำถามและข้อโต้แย้งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางว่า การกระทำนี้อาจละเมิดต่อโทษการตัดสิทธิทางการเมือง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ออกมาเตือน เป็นผลให้หลายคนต้องถอยออกไปจากหน้าฉากทางการเมือง


แต่กับกรณีที่เป็นอยู่ แทบไม่มีคำถามใดสักแอะเกิดขึ้นเลยว่า บุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองจะสามารถกระทำแบบนี้ได้หรือไม่ ส่วนหน่วยงานรับผิดชอบที่เคยมีบทบาทอย่างแข็งขันในคราวหาเสียงเลือกตั้งก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด


การไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแม้แต่น้อย จะทำให้มองเป็นอย่างอื่นใดไปได้ นอกจากคงต้องตอบว่าเพราะในหนก่อนเป็นความพยายามในการสกัดไม่ให้กลุ่มการเมืองที่สืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทยกลับมามีบทบาทในทางการเมือง จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่บัดนี้เป็นสถานการณ์ในทางตรงกันข้าม แม้จะเป็นข้อเท็จจริงที่มีความใกล้เคียงกัน แต่ก็หาทางเลี่ยงอื่นไปมาเป็นคำตอบ เช่น กฎหมายไม่ได้กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงไม่อาจดำเนินการใดๆ ได้


หากคุณเนวินแสดงบทบาทในทางกลับกัน ด้วยการให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ผมมั่นใจว่าเหล่าบรรดาแอคติวิสต์ทางการเมือง ส.ส. ส.ว. องค์กรอิสระต่างๆ คงมาทำงานรับลูกกันเป็นอย่างดีในการคุมผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง


จึงสามารถกล่าวได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการปฏิบัติต่อบุคคลอย่างแตกต่างกัน แม้จะมีข้อเท็จจริงที่มีเหมือนกัน อันเป็นประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในสังคมไทยปัจจุบัน หรือที่ถูกเรียกว่า สองมาตรฐาน (หรือ Double Standard นั่นแหละ) เพียงแต่ว่าในกรณีนี้การเลือกปฏิบัติไม่ใช่มาจากรัฐบาลโดยตรง หากเป็นสังคมไทยต่างหากที่สนับสนุนให้เกิดการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้น


ลองนึกดูว่า หากการแสดงบทบาทของผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองถูกตรวจสอบและตั้งคำถามอย่างเข้มข้น เราก็อาจไม่ได้เห็นคุณเนวินออกมาแสดงตนให้เห็นมากเท่าที่เป็นอยู่


ความล้มเหลวของการตัดสิทธิทางการเมืองจึงไม่ใช่ความไร้น้ำยาของรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว หากเป็นอ่อนแอทั้งในทางหลักการและสติปัญญาของสังคมการเมืองไทยอีกด้วย

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์,  10 มิ.ย.  52  



Tuesday, February 10, 2009

291,607.50



291,607.50 

 

สมชาย ปรีชาศิลปกุล 



ตัวเลขที่ถูกนำมาใช้เป็นชื่อบทความในวันนี้มีความหมายถึงอะไร และมีความสำคัญอย่างไร 

รายงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เสนอต่อสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการถือครองที่ดินในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ ใน พ.. 2551 และเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะได้มีการเผยแพร่ออกให้กว้างขวาง 

จากการสำรวจพบว่ากรุงเทพฯ มีขนาดพื้นที่ที่สามารถถือครองได้ 927,074 ไร่ โดยเป็นจำนวนโฉนดที่ดินทั้งหมด1,915,388 แปลง ผู้ที่ถือครองที่ดินในกรุงเทพฯ มีทั้งหมด 1,424,207 ราย โดยผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในลำดับแรกในกรุงเทพฯ (ซึ่งรวมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลถือครองที่ดินจำนวน 14,776 ไร่ 

แต่ข้อมูลที่ทำให้ชวนตระหนกเป็นอย่างยิ่งก็คือ เมื่อสำรวจสัดส่วนของผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุด 50 อันดับแรกจะคิดเป็นจำนวน 93,314 ไร่ ของที่ดินที่มีทั้งหมดในกรุงเทพฯ หรือหากกล่าวให้ชัดเจนก็คือว่าจำนวนผู้ถือครองที่ดินที่มากที่สุด 50 รายเป็นเจ้าของที่ดินมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของที่ดินทั้งหมดในจังหวัดที่เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย 

และหากเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างการถือครองที่ดินที่มากที่สุด 50 อันดับแรกกับการถือครองที่ดินที่น้อยที่สุด 50อันดับสุดท้าย จะพบว่ากลุ่มคนที่มีที่ดินมากที่สุดได้ถือครองที่ดินมากกว่ากลุ่มคนที่มีที่ดินน้อยที่สุดในกรุงเทพฯคำนวณออกมาเป็นสัดส่วนที่มีความแตกต่างกันถึง 291,607.50 เท่า อันเป็นตัวเลขที่เป็นชื่อของบทความในวันนี้ 

ข้อมูลดังกล่าวบอกนัยยะสำคัญ รวมถึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นภาพปัญหาในการถือครองที่ดินในสังคมไทยได้ชัดเจนขึ้น 

โดยไม่ต้องอาศัยความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์มาประกอบแต่อย่างใด ข้อมูลที่หยิบยกมาแสดงให้เห็นในงานวิจัยชิ้นนี้ก็สามารถทำให้มองเห็นภาพของความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในเขตกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดีว่ามีคนกลุ่มที่เล็กมากเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ 

หากอาศัยข้อมูลจากสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง ซึ่งสำรวจจำนวนราษฎรในพื้นที่กรุงเทพฯ ณ วันที่ 31ธันวาคม 2550 พบว่ามีประชากรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรทั้งสิ้น 5,716,248 คน ดังนั้น หากนับสัดส่วนผู้ถือครองที่ดินที่มากที่สุดจำนวน 50 อันดับแรก (ซึ่งมีนิติบุคคลรวมอยู่ด้วยเทียบเคียงกับจำนวนประชากรทั้งหมด ตัวเลขที่แสดงออกมาจะมีผลเป็นดังนี้ ประชากรจำนวน 0.001 เปอร์เซ็นต์ของกรุงเทพฯ ถือครองจำนวนที่ดินประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ประชากรที่เหลือ 99.999 เปอร์เซ็นต์ถือครองที่ดินในส่วนที่เหลือ 

การกระจุกตัวของการถือครองที่ดินที่เข้มข้นอย่างมากเช่นนี้ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นผลที่นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจที่เลวร้ายยิ่งขึ้น การเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากย่อมเป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มนี้ได้อย่างง่ายดาย เช่น การให้เช่า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การจำหน่ายจ่ายโอนในราคาที่สูงลิ่ว เป็นต้น 

โดยทั่วไปเมื่อมีการกล่าวถึงการปฏิรูปที่ดินเพื่อนำไปสู่การกระจายการถือครองที่ดิน มักเป็นที่เข้าใจกันว่านโยบายนี้จะพุ่งเป้าไปที่เกษตรกรผู้ยากไร้และเป็นประโยชน์กับคนกลุ่มนี้เป็นหลัก ดังแม้กระทั่งเมื่อมีการกล่าวถึงนโยบายการปฏิรูปที่ดินภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบันก็คงให้ความสำคัญกับการตระหนักถึงการมุ่งไปสู่การก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในที่ดินสำหรับภาคการเกษตรเป็นหลัก โดยไม่ได้มีการตระหนักถึงว่าปัญหาเรื่องการถือครองที่ดินเป็นปัญหาที่มีขอบเขตกว้างขวางรวมถึงการถือครองที่ดินในพื้นที่เขตเมืองใหญ่ด้วย 

การกระจุกตัวของการถือครองที่ดินที่อยู่ในระดับสูง ในด้านหนึ่งก็ส่งผลให้ชนชั้นกลางในเมืองก็ได้รับผลกระทบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง การกว้านซื้อและเก็งกำไรที่ดินในเขตเมืองชั้นในทำให้ชนชั้นกลางไม่สามารถที่จะมีที่พักอาศัยในเขตเมืองได้ จะเห็นได้ว่าในรอบ 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา พื้นที่ซึ่งเคยเป็นชุมชนของชนชั้นกลางได้แปรไปเป็นศูนย์การค้า ห้างร้านธุรกิจเอกชน ออฟฟิศทำงาน ชนชั้นกลางไทยต้องกลายเป็น ผู้อพยพใหม่โยกย้ายออกไปอยู่ในพื้นที่รอบนอกที่นับวันจะไกลมากขึ้นๆ ปทุมธานี บางบัวทอง บางนา รังสิต นครนายก กลายเป็นที่พักอันถาวรของคนกลุ่มนี้ 

ไม่ใช่เพียงเท่านั้นราคาของบ้านและอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ต่างๆ ที่ได้กล่าวมาก็ถีบตัวขึ้น ชนชั้นกลางจำนวนมากที่ต้องทำงานหนักภายหลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีไปจนกระทั่งเกือบถึงเกษียณอายุการทำงานเพื่อที่จะผ่อนทาวน์เฮาส์ 20 ตารางวาหรือบ้านเดี่ยวแบบหลังคาติดกันในหมู่บ้านจัดสรรมาเป็นของตน และส่วนใหญ่ของที่ผ่อนไปคือราคาของที่ดินอันแสนแพงซึ่งเป็นผลมาจากเก็งกำไรในหมู่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 

เงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนมากของชนชั้นกลางในธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินก็คือ ความร่ำรวยที่ไหลไปสู่เจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินจำนวนหยิบมือเดียวในสังคมไทย 

การปฏิรูปที่ดินที่หมายถึงการกระจายการถือครองที่ดินให้กับกลุ่มคนต่างๆ โดยเฉพาะคนตัวเล็กๆ ในสังคมจึงไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะกับเกษตรกรยากไร้เท่านั้น ในอีกด้านหนึ่งนโยบายนี้จะเป็นประโยชน์กับชนชั้นกลางในสังคมไทยเพราะจะทำให้สามารถเป็นเจ้าของที่ดินเพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้สะดวกมากขึ้น แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อต้องทำให้นโยบายการปฏิรูปที่ดินไปไกลกว่าเพียงแค่การแจก สปก. 4-01 ดังที่รัฐบาลกำลังขะมักเขม้นทำกันอยู่ในปัจจุบัน 

นอกจากนโยบายปฏิรูปที่ดินแบบนี้จะไม่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกรรายย่อย ในระยะยาวแล้วก็จะไม่เป็นมรรคเป็นผลอันใดแก่ชนชั้นกลางแม้แต่น้อย การทำนาบนหลังชนชั้นกลางโดยเจ้าที่ดินจำนวนน้อยก็จะดำเนินต่อไปเช่นเดิม 

หากต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในนโยบายปฏิรูปที่ดินที่จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง การให้ความสนับสนุนกับการปฏิรูปที่ดินซึ่งให้ความสำคัญกับการกระจายการถือครองและการสร้างความมั่นคงกับผู้คนกลุ่มต่างๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ควรร่วมต้องกันผลักดันให้เกิดขึ้น 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์,  05  ก.พ. 52

 

 

 

Friday, December 26, 2008

"สังคมไทยยาม "พักรบ"



วันที่ 24 ธ้นวาคม พ.ศ. 2551


"สังคมไทยยาม "พักรบ"

โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล

มีใครเชื่อบ้างว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ถูกแก้ไขให้ลุล่วงไปแล้วบ้าง หากไม่หลอกตัวเองจนเกินไปนัก ก็คงพอมองเห็นได้ว่าปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดยังคงดำรงอยู่ สถานการณ์ในห้วงเวลาปัจจุบันเป็นเพียงการ "พักรบ" ชั่วขณะเท่านั้น ซึ่งพร้อมจะหวนกลับคืนมาสู่การเผชิญหน้ากันอีกครั้งหนึ่งได้ไม่ยาก

แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสังคมไทยจะหวนกลับเข้าสู่สถานการณ์ "สู้รบ" อีกเมื่อไร แต่อย่างน้อยก็อาจเป็นเวลาดีที่เราจะได้ใช้เวลาและปัญญาไตร่ตรอง เพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ และสามารถมองเห็นปัญหาต่างๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น

ดูเหมือนว่ารัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ จะถูกคาดหวังไว้อย่างมากว่าจะนำพาสังคมให้พ้นห้วงเวลาวิกฤตินี้ รวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีเองก็ปวารณาตนว่าจะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่สร้างความสมานฉันท์ให้กับสังคมไทย อย่างไรก็ตาม เพียงแค่การจัดตั้งรัฐบาลขึ้นก็ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าการแก้ไขปัญหาในขณะนี้ ต้องการความสามารถมากกว่าการใช้โวหารเพียงอย่างเดียว

ไม่ใช่แค่เฉพาะความยุ่งยากที่เกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีวิบากกรรมอีกมากที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องเผชิญ โดยเหตุที่การจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากครรลองของระบบรัฐสภาอย่างตรงไปตรงมา หากด้วยกำลังภายในภายนอกของหลายฝ่าย รวมถึงการต่อรองระหว่างนัก/พรรคการเมือง ทั้งหมด ทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบันจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของอีกหลายส่วน ที่มีบทบาทในการทำให้การจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้

การพึ่งพาจำนวนมือของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนอกพรรคประชาธิปัตย์ การสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจนอกระบบล้วนแต่ทำให้พรรคนี้ต้องแหยมากขึ้นในการบริหารงาน รวมถึงอาจต้องทนให้โครงการที่มีกลิ่นตุๆ เกิดขึ้นได้

เว้นเสียแต่ว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะไม่สนใจกับความมั่นคงของรัฐบาล ซึ่งในปัจจุบันก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นในทิศทางดังกล่าว การหันมาจูบปากกับคุณเนวิน ชิดชอบ และการถูกกระหน่ำจากลูกพรรคในขณะนี้คงบอกความหมายให้เราได้เข้าใจได้ไม่น้อย

แทนที่จะฝากความหวังไว้กับรัฐบาลที่ไม่สู้จะมีอนาคตมากสักเท่าไร สังคมควรกลับมาขบคิดและสร้างความรู้เพื่อเป็นพลังในการเผชิญหน้ากับปัญหาที่กำลังรายล้อมอยู่จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ

ภาวะความขัดแย้งและความยุ่งยากทางการเมืองที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะสามารถแก้ไขได้ด้วยคำอธิบายง่ายๆ ว่า เพราะชาวบ้านโง่ จน เจ็บ เลือกเอาแต่ผู้แทนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ เมื่อใดก็ตาม ที่คำอธิบายเป็นไปตามตรรกะนี้ทางแก้ไขดูเหมือนว่าจะมีเพียงการแสวงหาคนดีมาเป็นผู้แทน หรือคัดเอาแต่ผู้บรรลุธรรมมาเป็นผู้ปกครอง

อาจต้องทำความเข้าใจมากขึ้นกับระบบการเมืองว่าเหตุใดกลุ่มรากหญ้าจึงจงรักภักดีกับบางพรรคการเมืองเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อไปสองหรือสามชื่อแล้วก็ตาม ใช่หรือไม่ว่าการสร้างนโยบายตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในระดับล่างแทบไม่เคยเป็นประเด็นสำคัญของพรรคการเมืองอย่างชัดเจนมาก่อนตราบจนกระทั่งการเกิดนโยบายประชานิยม

ในขณะที่ชนชั้นกลางก็ได้รับปรนเปรอด้วยนโยบายประชานิยมมาอย่างต่อเนื่อง นโยบายต่างๆ ในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเผด็จการหรือในยุคประชาธิปไตย ก็ล้วนแต่ทุ่มไปยังกลุ่มคนเมืองหรือชนชั้นกลาง อาทิเช่น ค่าไฟฟ้าราคาถูก ระบบการขนส่งมวลชนที่ใช้เงินทุนมหาศาล การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในเขตเมือง การกดราคาพืชผลทางการเกษตรในระดับต่ำ เป็นต้น

แต่ทั้งหมดนี้ กลับไม่เคยมีใครมากล่าวหาเลยว่าชนชั้นกลางถูกมอมเมาด้วยประชานิยม

การให้การสนับสนุนอย่างสุดหัวใจของรากหญ้าจึงไม่ใช่เรื่องของความโง่ ความเขลา ตรงกันข้าม นี่คือ สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองเสียด้วยซ้ำ หากไปเลือกพรรคการเมืองที่ไม่ได้เคยผลักดันนโยบายอะไรให้เกิดขึ้นอย่างเป็นชิ้นเป็นอันกับตนเลย พฤติกรรมแบบนี้ต่างหากที่ควรจะถูกกล่าวว่าโง่

การสร้างนโยบายที่สร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับคนทุกกลุ่มในสังคมจึงควรต้องถูกนำเสนอ การใช้มาตรการทางภาษีเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ การกระจายในการตัดสินใจเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ นโยบายด้านการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน หรือระบบการศึกษาที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ฯลฯ รวมกระทั่งการเขียนรัฐธรรมนูญด้วยกระบวนการที่สร้างความชอบธรรมและการยอมรับอย่างกว้างขวาง ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องได้รับความสนใจและผลักดันจากทุกฝ่า

หากสามารถทำความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้พ้นไปจากเพียงการประณามอีกฝ่าย ก็จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้สังคมจะสามารถมองเห็นการออกจากปัญหานี้ได้กว้างขวางขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หากยังติดอยู่กับการมองปัญหาทางการเมืองแบบดี/ชั่ว การแก้ไขความยุ่งยากก็อยู่เพียงแค่การพยายามล้มรัฐบาลอีกฝ่าย หรือทำให้ชาวบ้านมีเสียงเบาลงในระบบการเลือกตั้ง ซึ่งจะไม่ทำให้สังคมไทยสามารถหลุดพ้นไปจากความขัดแย้งได้ในระยะยาวแต่อย่างใด


http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=5615&user=somchai    

Thursday, October 30, 2008

ความรุนแรงข้างใต้สันติวิธี




"ความรุนแรงข้างใต้สันติวิธี"

โดย  สมชาย  ปรีชาศิลปกุล

มีคนจำนวนไม่น้อยได้พยายามกระทำในหลายวิถีทาง เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งทางการเมืองแปรไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่กันในปัจจุบัน

 

ความพยายามดังกล่าวซึ่งมาจากหลายฝ่ายเป็นสิ่งที่ควรต้องได้รับการผลักดันและสนับสนุนให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เพื่อเป็นเสียงสะท้อนของบรรดาพวก "2 ไม่เอา" อันหมายถึง กลุ่มคนที่ไม่ได้เข้าไปยืนอยู่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างเต็มตัว และรวมถึงกลุ่มซึ่งต้องการมองหาทางออกจากความขัดแย้งที่ดูราวกับว่าจะหาทางเดินหน้าต่อไปไม่ได้

 

แต่การกระทำที่เอ่ยถึงมาข้างต้น คงไม่อาจจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ ถ้าหากมุ่งเป้าไปเฉพาะที่การประณามการตีหัวกันไม่ว่าจะเป็นระหว่าง 2 ฝ่าย หรือโดยเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนเท่านั้น

 

ควรเข้าใจว่าการตีหัวหรือทำร้ายกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลือง/เสื้อแดง มิใช่เป็นผลมาจากการเหยียบตาปลาหรือการเหม็นขี้หน้าอีกฝ่ายเท่านั้น การลงมือทำร้ายกลุ่มคนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางส่วนตัวกัน แทบจะไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน แม้กระทั่งอีกฝ่ายหมดทางป้องกันตัวแล้วยังมีการทำร้ายได้อย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการกระทำในลักษณะเช่นนี้ แม้กระทั่งกับสัตว์เดรัจฉาน ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากสำหรับคนธรรมดาทั่วไป

 

อะไรคือเหตุผลสำคัญของเรื่อง และจะทำให้ความรุนแรงนี้บรรเทาลงได้อย่างไร

 

การแสดงออกที่กล่าวมาข้างต้นเป็นผลมาจากกระบวนการกล่อมเกลา การให้ข้อมูล อย่างต่อเนื่องที่ทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือศัตรู เมื่อเป็นศัตรูหรือหมายถึงผู้ที่ไม่ควรจะดำรงอยู่รวมกันแล้ว การใช้กำลังในลักษณะที่คนธรรมดาไม่กระทำต่อกันจึงบังเกิดขึ้น

 

หากพิจารณาความยุ่งยากที่ปรากฏตัวอยู่ ณ ปัจจุบัน ไม่อาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงแค่ความเห็นต่างทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย หากมีสภาพที่กำลังดำเนินไปสู่การสร้างสงครามขึ้นระหว่างคนสองกลุ่ม โดยที่ต้องกำจัดอีกกลุ่มหรืออีกฝ่ายให้สูญสิ้นไป การใช้วลี "สงคราม" มาเป็นคำอธิบายการเคลื่อนไหว และรวมไปถึงการสร้าง "นักรบ" ไม่ว่าจะเป็นศรีวิชัยหรือพระเจ้าตาก จึงไม่ได้มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น แต่มีส่วนอย่างสำคัญต่อการกำหนดท่าทีว่าควรและจะกระทำอย่างไรต่ออีกฝ่ายหนึ่ง

 

เมื่อเป็นสงครามเสียแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องสู้เพื่อให้รู้แพ้รู้ชนะ ในสงครามการเสมอหรือเจ๊ากันเป็นสิ่งที่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายไม่ประสงค์จะให้เกิดขึ้นแน่นอน

 

ในการต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ การปลุกเร้าผู้สนับสนุนและกองกำลังของตนจึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ภาษาและเรื่องเล่าที่จะนำมากระตุ้น ชี้นำ เพื่อนำไปสู่ทั้งความเกลียดชังต่ออีกฝ่ายและความฮึกเหิมให้เพิ่มทวีมากขึ้น

 

ต้องทำให้อีกฝ่ายไร้ความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทำให้อีกฝ่ายคือพวกที่กระทำความผิด ชั่วช้าสารเลว ผิดอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ด้วยการละเมิดต่อหลักการหรือสถาบันบางอย่างที่มีความสำคัญต่อความหมายของฝ่ายตน การกระทำของฝ่ายเราคือการพิทักษ์ความดีที่ควรได้รับการยกย่องอย่างไร้ข้อกังขา

 

เมื่อเป็นดังนี้ จึงทำให้การตีหัวหรือทำร้ายอีกฝ่ายเกิดขึ้นได้ ดังเช่นที่ "ผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์" เคยกระทำต่อ "พวกคอมมิวนิสต์" มาแล้วกลางเมืองหลวงเมื่อ 30 ปีก่อน

 

การห้ามปรามหรือประณามการตีหัวอาจเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้ แต่หากยังปล่อยให้กระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ ยังคงมีลักษณะที่เป็นไปในรูปของสงคราม ไพร่พลที่อยู่ในทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งสะสมความเกลียดชังอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแน่นอน ก็พร้อมที่จะระเบิดความรู้สึกดังกล่าวออกมาได้ เมื่อมีสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยในวันใดวันหนึ่ง

 

การยุติความรุนแรงจึงมิใช่แต่เพียงด้วยการห้ามการตีหัว หากหมายรวมไปถึงการทำให้เกิดการมองผู้อื่นว่าเป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับตน มีเลือดมีเนื้อ มีญาติพี่น้อง มีคนที่รักเขาและมีคนที่เขารัก ที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือทั้งหมดล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมแห่งนี้ รวมถึงมีเหตุผลอะไรสนับสนุนการกระทำหรือการเลือกข้างของเขาเช่นเดียวกับที่เรามีคำอธิบายในการตัดสินใจเลือกฝ่ายของตน

 

การทำความเข้าใจมากกว่าการประณามแบบสาดเสียเทเสีย จะเป็นสิ่งที่ทำให้มองเห็นได้ว่าอะไรคือปัญหาข้อบกพร่องของสังคมการเมืองไทย รวมทั้งจะหาวิธีการออกไปจากปัญหาด้วยความร่วมมือ และความเห็นร่วมกันของสังคมได้อย่างไร

 

ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สงคราม และไม่อาจจัดการได้ด้วยการใช้กำลังเข้ากวาดล้างอีกฝ่าย เพื่อให้เกิดยุคพระศรีอารีย์ขึ้นภายในพริบตา

 

ทางข้างหน้าที่ก้าวไปต่อเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ความคิดและความเอื้ออาทรในฐานะของเพื่อนร่วมสังคมที่ต่างก็ต้องอาศัยอยู่ในสังคมแห่งนี้ต่อไปรวมถึงลูกหลานของทุกฝ่าย ไม่มีใครสามารถนำสังคมไทยในวันนี้ไปได้ด้วยเพียงลำพังกลุ่มตนแต่เพียงกลุ่มเดียว

 

ทางออกไปจากความรุนแรงที่แอบแฝงในขณะนี้ เป็นไปได้ก็ด้วยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะการลดทอนภาวะของสงครามให้หมดสิ้นลง ซึ่งกระทำได้ด้วยการเผชิญหน้ากับข้อขัดแย้งต่างๆ ด้วยความจริงให้มากขึ้น การใช้ข้อมูลเพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึก การปั้นข้อมูลเท็จในเรื่องนับร้อยพันในห้วงเวลาที่ผ่านมาของทุกฝ่ายต้องถูกตั้งคำถามหรือตรวจสอบ การละเลยโดยปล่อยการโป้ปดผ่านสื่อมวลชนต่างๆ ไม่ว่าจะสื่อของเอกชนหรือรัฐต้องไม่ถูกปล่อยให้เป็นเสรีภาพเพื่อสร้างความเกลียดชัง

 

อาจมีความเห็นต่างระหว่างแต่ละกลุ่ม แต่ต้องไม่ทำให้ความเห็นต่างนั้นนำไปสู่ความไม่เป็นมนุษย์ เงื่อนไขเช่นนี้ต่างหากที่จะทำให้ความเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งดำเนินไปอย่างสันติและเคารพในความเป็นมนุษย์ระหว่างกันและกัน

 

การเคลื่อนไหวที่แฝงไปด้วยความเกลียดชัง และพร้อมจะตีหัวผู้อื่นทุกเมื่อ ย่อมไม่อาจนับเป็นสันติวิธีได้หากเป็นเพียงเครื่องมืออันน่ารังเกียจของผู้แสวงหาประโยชน์ทางการเมืองไม่ว่าจะกระทำโดยฝ่ายใดก็ตาม

 

ที่มา  :  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์,วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551