Wednesday, November 12, 2008

ฝ่ายที่ขาดหายไปในการสานเสวนา



โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


กระบวนการสานเสวนาเป็นกระบวนการที่ใช้ในกรณีของความขัดแย้งสองฝ่าย อันที่จริง ความหมายตามตัวอักษรของคำว่า dialogue คือทวิวัจนา หรือการเจรจาของสองฝ่าย แต่เป้าหมายสำคัญสุดของการสานเสวนาคือ "ฟัง" ทำให้สองฝ่ายที่ขัดแย้งกันได้ "ฟัง" อีกฝ่ายหนึ่ง

เพราะสิ่งที่ขาดหายไปเสมอในกรณีพิพาทก็คือการฟัง

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของไทยปัจจุบัน แม้ว่าฝ่ายที่ขัดแย้งกันอย่างออกหน้าจะมีสองฝ่าย คือนปช.กับรัฐบาลพรรค พปช.ฝ่ายหนึ่ง และ พธม.กับฝ่ายค้านพรรค ปชป.อีกฝ่ายหนึ่ง แต่ที่จริงยังมีฝ่ายที่สามซึ่งเป็นฝ่ายที่ใหญ่มาก คือประชาชนโดยทั่วไปซึ่งไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

ไม่แต่เพียงเป็นฝ่ายที่ใหญ่สุดเท่านั้น กระบวนการสานเสวนาในกรณีใดในโลกก็ตามย่อมพุ่งเป้าไปที่ฝ่ายที่สามนี้เสมอ นั่นคือไม่แต่เพียงสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันได้"ฟัง"กันเท่านั้น ฝ่ายที่สามซึ่งไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็จะได้"ฟัง"ไปด้วย แม้ว่าอาจไม่ได้ฟังโดยตรง แต่ก็ต้องรู้ว่าเนื้อหาหลักคืออะไร (เพราะการเจรจาที่ทำให้"ฟัง"กันได้ดีขึ้นในบางเงื่อนไข อาจควรทำโดยคู่เจรจาเชื่อว่า จะไม่มีใครได้ยินอีกนอกจากฝ่ายที่เข้าร่วมการเจรจา)

เพราะถึงที่สุดของที่สุดแล้ว ฝ่ายที่สามนี้ต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินว่า ทางออกของความขัดแย้งคืออะไร

ในส่วนของคู่ความขัดแย้ง ประเด็นที่ขัดแย้งกันนั้นไม่สู้จะชัดนัก ถ้าจะหาส่วนที่เห็นพ้องต้องกันระหว่างสองฝ่ายอาจจะเห็นได้ชัดกว่า

ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ระบบการเมืองที่เป็นอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ไม่เหมาะสม ฝ่าย พธม.+ปชป.เห็นว่ารัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่เวลานี้ไม่เหมาะสม เพราะมาจากการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต ฝ่าย นปช.+พปช.เห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เหมาะสม เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระบบการเมืองเสียใหม่ ฝ่าย พธม.เห็นว่าต้องใช้ "การเมืองใหม่" ซึ่งยังไม่ชัดเจนโดยรายละเอียดว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ส่วน ปชป.ไม่ชัดเจนในเรื่องนี้นัก ได้แต่คอยโหนกระแสและกระพือไฟความขัดแย้งไปเรื่อยๆ       ส่วน นปช.และพปช.(บางส่วน) เห็นว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น

ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ความขัดแย้งที่ปรากฏนี้เป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น ความจริงแล้วมีผลประโยชน์ของคนอื่นชักไยอยู่เบื้องหลัง และหากทำได้ก็อยากจะดึงคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาสู่สนามความขัดแย้งอย่างเปิดเผย

เพราะความเห็นพ้องประการหลังนี่แหละที่ทำให้ความไม่ไว้วางใจระหว่างกันมีสูงยิ่ง เพราะต่างเชื่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีญัตติซ่อนเร้นบางอย่างในข้อเสนอของตนเสมอ ลามไปถึงข้อเสนอของฝ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยก็ถูกมองจากทั้งสองฝ่ายว่า เป็นญัตติแอบแฝงของ "มือที่มองไม่เห็น" แล้วแต่ว่าข้อเสนอนั้นจะถูกใจตัวหรือไม่ จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์ไม่มี "คนกลาง" เหลืออยู่ในสังคมไทย

อันที่จริงความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย เท่าที่เผยให้ปรากฏ เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ นั่นคือแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนระบบการเมืองให้เหมาะสมเท่านั้น ในขณะที่ไม่มีความขัดแย้งเรื่องอื่นปะปนอยู่อีกเลย ทั้งนี้ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ,คนตกงานซึ่งจะเพิ่มขึ้น,ความไม่สงบในภาคใต้ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น,รวมไปถึงอนาคตอีกหลายด้านของสังคมไทยซึ่งไม่มีแววว่าจะจัดการได้ ฯลฯ

และเรื่องอื่นๆ นี่แหละที่ฝ่ายที่สาม คือคนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดสนใจ รวมทั้งเห็นว่ามีความสำคัญเกี่ยวโยงกับชีวิตของเขามากที่สุด แต่ฝ่ายที่สามคือฝ่ายที่ไม่มีปากมีเสียงใดๆ ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเลย (และทำท่าว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสานเสวนาอีกด้วย)

กระบวนการสานเสวนาที่จัดกันขึ้นจึงควรให้ความสนใจแก่ฝ่ายที่สามให้มากขึ้น แม้ใน "คำร้องขอต่อมโนสำนึกของพลเมืองไทยทุกคน" ของสภาพัฒนาการเมือง ก็มุ่งหวังว่าจะสร้างพลังของสังคมโดยรวม "... จนกว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งรับที่จะมาร่วมสานเสวนาหาทางออกให้ประเทศไทยอย่างจริงจัง"

นั่นก็คือยอมรับว่าพลังสังคมเป็นพลังสำคัญที่สุด ซึ่งจะทำให้การสานเสวนาเกิดขึ้นได้

แต่การดำเนินงานที่ปรากฏเป็นข่าวมาจนถึงวันนี้ ดูจะเน้นหนักที่การดึงเอาฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโดยตรง (2+2 คือ 4 ฝ่าย) เข้ามา "สานเสวนา" กัน แทบไม่เห็นการทำงานกับสังคมโดยรวม มากไปกว่าการสัมมนาเปิดตัว และรณรงค์ติดสติ๊กเกอร์ ส่วนการดำเนินการดึงเอาสี่ฝ่ายมา "สานเสวนา" จะประสบความสำเร็จเพียงใดก็ยังไม่แน่นัก เพราะฝ่าย พธม.ตั้งเงื่อนไขแต่แรกว่า การสานเสวนาที่จะยอมรับได้มีเพียงระหว่างฝ่ายตนกับรัฐบาลเท่านั้น

ด้วยท่าทีเช่นนี้ หากเกิดการสานเสวนาขึ้นได้จริง ก็เกรงว่าจะมีแต่การตั้งเงื่อนไขให้แก่กันและกัน มากกว่าการฟังกัน เท่ากับไม่บรรลุเป้าหมายของการสานเสวนา จนกลายเป็นการเจรจาธรรมดาๆ ไม่ใช่การสานเสวนาจริง

ในขณะที่พลังทางสังคมซึ่งหวังว่าจะบีบบังคับให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมการสานเสวนาไม่เกิดขึ้น

สิ่งสำคัญในการเริ่มต้นกระบวนการสานเสวนา จึงไม่ใช่การทำให้ฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้งโดยตรงยอมฟังกันและกัน หากอยู่ที่สร้างเงื่อนไขทางสังคมที่เป็นผลบังคับให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องยอมฟังกันและกันก่อน (เงื่อนไขเช่นนี้ในกรณีความขัดแย้งในประเทศอื่นๆ อาจเป็นมติของชาวโลก,ของมหาอำนาจ,ของสังคมที่เห็นแล้วว่า ความขัดแย้งนั้นไม่นำไปสู่อะไรนอกจากความเสียหายแก่ส่วนรวม,หรือของคู่ความขัดแย้งที่พบว่า ไม่มีทางชนะกันอย่างเด็ดขาดได้ ฯลฯ)

องค์กรที่ร่วมจัดการสานเสวนาในครั้งนี้ จึงควรให้ความสนใจด้านนี้ให้มากขึ้นกว่าการรณรงค์ เพราะผู้คนในสังคมไทยมีปัญหาของตัวเองที่ไม่เกี่ยวอะไรกับความขัดแย้งทางการเมืองอีกมากมาย แต่ปัญหาเหล่านี้กลับถูกละเลยหรือลดความสำคัญในสื่อ ทั้งๆ ที่ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นความเป็นความตายของคนส่วนใหญ่ทั้งสิ้น

การรณรงค์ทางสังคม (หากจะเรียกว่าการรณรงค์) จึงควรออกมาในเชิงรูปธรรมที่มีผลต่อนโยบายสาธารณะด้วย องค์กรร่วมจัดอาจจัดการประชุมโต๊ะกลม,การสัมมนา,การเสวนา ฯลฯ ที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ด้วย เพื่อนำข้อเสนอที่หลากหลายต่างๆ เข้าสู่สังคม ให้มากกว่า"การเมืองใหม่" หรือ "การต่อต้านรัฐประหาร"

ขอยกเป็นตัวอย่างให้ดูบางเรื่อง

ในยามที่เราหลีกหนีผลกระทบทางเศรษฐกิจของวิกฤตการเงินโลกไม่พ้น รัฐน่าจะต้องเข้ามามีบทบาทในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่มต่างๆ มากขึ้น มีเรื่องที่สังคมไทยต้องคุยกันมากทีเดียว เช่นเราควรปรับเปลี่ยนระบบภาษีอย่างไร เพื่อบรรเทาปัญหาและเพิ่มพลังของรัฐในการเข้ามาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนกลุ่มต่างๆ 

คงภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 7% ก็มีข้อดีหลายอย่าง แต่มองเรื่องนี้จากสายตาพ่อค้าฝ่ายเดียวซึ่งย่อมต้องการรักษากำลังซื้อของตลาดไว้ อาจทำให้รัฐไม่มีเงินเพียงพอที่จะทำหน้าที่ในยามวิกฤตเศรษฐกิจก็ได้ นักวิชาการสามารถคำนวณผลกระทบของการคงภาษีไว้ที่ 7% หรือเพิ่มถึง 10% ให้เห็นเป็นตัวเลขได้ อันเป็นแนวทางสำหรับการสานเสวนากันระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ผู้บริโภค,นักวิชาการ,นักการเงิน, อุตสาหกร,พ่อค้า ฯลฯ

แม้ไม่อาจสรุปผลอะไรออกมาได้ แต่สังคมโดยรวมจะถูกดึงให้มาสนใจปัญหาอื่นๆ นอกจากความขัดแย้งทางการเมือง

มีปัญหาทำนองนี้อีกมากมายที่สังคมควรได้รับรู้ และร่วมคิด เช่นจะจัดการศึกษากันอย่างไร จึงจะสามารถเพิ่มสมรรถภาพของคนไทยในโลกาภิวัตน์ได้ทันกาล ไม่เฉพาะแต่ในทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่รวมถึงด้านสังคมและวัฒนธรรมซึ่งเปลี่ยนไปอย่างมาก

จะเตรียมการในโลกที่พลังงานฟอสซิลหายากขึ้นได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน,กระแสไฟฟ้า, เชื้อเพลิงเพื่อการผลิต,และเชื้อเพลิงเพื่อการขนส่งคมนาคม

แม้แต่ปัญหาการเมืองก็อาจนำมาคุยกันได้ โดยมีคนหลากหลายกลุ่มเข้าร่วม และนำไปสู่การมองปัญหาการเมืองจากมิติที่หลากหลายกว่าถูก-ผิด

สร้างเวทีของการ"ฟัง"กันและกันขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะทำให้ทุกฝ่ายฉลาดขึ้นหรือรู้จักคิดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นก็คือมองเรื่องเดียวกันจากมุมมองหลายมุมได้

พลังสังคมจะเกิดขึ้นจากการกระทำที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้ ในขณะที่พลังของกลุ่มขัดแย้งก็จะลดลงไปพร้อมกัน จน-กระทั่งกลุ่มเหล่านี้พร้อมจะเข้าร่วมสานเสวนาตามความประสงค์ได้จริง

หน้า 6

 

ที่มา :  มติชนรายวัน,วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551  



มหาสยามยุทธ



โดย  ประเวศ วะสี

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์, 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 

 

ผมตั้งชื่อเลียนมหากาพย์ "มหาภารตยุทธ" ของอินเดีย ซึ่งเป็นเรื่องราวสงครามใหญ่ระหว่างพี่น้องครูบาอาจารย์ รวมทั้งแม้พระกฤษณะก็ยังลงมาเป็นสารถีขับรถรบให้ท้าวอรชุน

ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องคนไทยขณะนี้ซึ่งแบ่งข้างด้วยอารมณ์รุนแรง เป็นฝ่ายรักทักษิณกับฝ่ายเกลียดทักษิณ ข้างละเท่าไรไม่ทราบแน่ แต่อาจมากกว่าข้างละ 10 ล้านคน จึงน่าจะเป็นความแตกแยกในหมู่คนไทยด้วยกันที่ใหญ่ที่สุดอันอาจนำไปสู่การนองเลือด จึงเรียกการต่อสู้ครั้งนี้ว่า "มหาสยามยุทธ" น่าจะมีผู้วิจัยเก็บข้อมูลบุคคลที่เกี่ยวข้องและเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียด และนำมาประพันธ์เป็นมหากาพย์ เพื่อให้เป็นที่เรียนรู้ใหญ่ของคนไทยทั้งชาติสืบต่อไป

ถ้าเราพยายามมองความขัดแย้งโดยใช้อารมณ์น้อยที่สุดเพื่อให้เห็นทั้งหมด อย่างน้อยทำให้เข้าใจเหตุการณ์ตามความเป็นจริง อย่างมากอาจช่วยให้เห็นทางออก

1.ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

พธม. เป็นการรวมตัวของคนอันหลากหลาย ที่มีอารมณ์ร่วมคือเกลียดทักษิณ โดยที่เห็นว่าทักษิณชอบใช้อำนาจ คดโกง บ่อนทำลายชาติ และจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์

พธม.ใช้การชุมนุมและการสื่อสารด้วยเอเอสทีวีไปสู่คนจำนวนมากเป็นเครื่องมือ มีผู้บริจาคอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ และเงิน เพื่อการต่อสู้อย่างไม่ขาดสาย แกนนำและทหารเอกทั้งหญิงและชายมีความสามารถสูงในการสื่อสารปลุกเร้าอารมณ์ร่วมในอุดมการณ์ของการต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใช้แนวทางการต่อสู้ด้วยสันติอหิงสา แม้จิตใจและวาจายังไม่เท่าสันติอหิงสาของท่านมหาตมะคานธี มีวัตถุประสงค์ในการทำลายระบอบทักษิณ

พธม. เป็นขบวนการต่อสู้อำนาจรัฐที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตัว พ.ต.ท.ทักษิณเอง แม้มีอานุภาพมากสุดๆ ซึ่งจะกล่าวต่อไปถึงกับถอยร่น ดังที่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถูกตัดสินจำคุกและหลบหนีอยู่ต่างประเทศ จุดอ่อนของ พธม. คือ การเกรี้ยวกราดใส่คนที่เห็นต่างทำให้เสียแนวร่วม คนเกลียดทักษิณมีทั้งที่เป็น พธม. และไม่เป็น อย่างละเท่าไรไม่ทราบแน่ แต่ พธม. เป็นขบวนการจัดตั้งเพื่อการต่อสู้คล้ายกองทัพ

2.ระบอบทักษิณ

ที่เรียกว่าระบอบทักษิณนั้นกว้างขวางใหญ่โตและกินลึก ประกอบด้วย คนรักทักษิณที่เป็นชาวชนบทในภาคเหนือและภาคอีสาน คนจนในเมือง นักการเมืองในพรรคไทยรักไทยเดิมและพลังประชาชน (พปช.) ข้าราชการ นักวิชาการ สื่อมวลชนบางส่วน นักธุรกิจ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการระดับสูง นายทหารนอกราชการ ที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากระบอบทักษิณ ฝ่ายซ้ายบางส่วนที่ไม่นิยมสถาบันและเจ็บช้ำน้ำใจมาจากเหตุการณ์สังหารโหดนักศึกษาเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 จริงอยู่คนรักทักษิณส่วนหนึ่งอาจเกิดจากผลประโยชน์และสินจ้างรางวัล แต่ก็มีคนรักทักษิณด้วยใจจริงและคนมีอุดมการณ์

ตัวคุณทักษิณเองมีมหิทธานุภาพสูงมากและมีเงินมหาศาล แม้ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็สามารถควบคุมสั่งการคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมาก และจัดการการสื่อสารทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เป็นประโยชน์กับระบอบทักษิณ และเป็นโทษกับฝ่ายตรงข้าม เป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียว ที่เมื่อถูกรัฐประหารแล้วระบอบทักษิณก็ยังกลับมาครองอำนาจรัฐอีกได้ สามารถใช้ทั้งทรัพยากรภาครัฐ และทรัพยากรมหาศาลส่วนตัวเป็นเครื่องมือต่อสู้

จุดอ่อนของทักษิณ คือ การมีคดีความเกี่ยวกับทุจริตคอร์รัปชันมากมาย และข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการล่วงเกินจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งอาจอยู่เบื้องหลังการก่อความรุนแรง จุดอ่อนทั้ง 3 ประการนี้ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข จะเป็นบ่อนทำลายความชอบธรรมของระบอบทักษิณ

3. สภาพค้ำยัน ไม่แพ้ไม่ชนะเด็ดขาด

ขณะนี้ เกิดปรากฏการณ์ที่อำนาจต่างๆ ค้ำยันกันหมด ไม่แพ้ไม่ชนะกันอย่างเด็ดขาด และยังไม่มีทางออกชั่วคราว ดังนี้

(1) สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกนำมาเป็นประเด็นในการต่อสู้ ระบอบทักษิณถูก พธม. กล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีและจะทำลายสถาบัน มีการจาบจ้วงสถาบันในขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อก่อนใครถูกคู่ต่อสู้กล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็จะพ่ายแพ้ไปง่ายๆ สมัยนี้ดูเสมือน "หมูไม่กลัวน้ำร้อน"

(2) พธม. ไม่สามารถทำลายระบอบทักษิณได้หมดสิ้น ตัวทักษิณอาจจะถอยร่นเพราะกฎหมาย แต่ระบอบทักษิณยังใหญ่โตกว้างขวางลงรากลึก ในฟิลิปปินส์แม้มาร์กอสจะหมดอำนาจหรือตายไปแล้วแต่ระบบมาร์กอสยังคงอยู่มาตั้ง 20 ปี

(3) ระบอบทักษิณ ไม่สามารถทำลาย พธม.ได้ เพราะเป็นขบวนการที่กว้างขวางใหญ่โตและสังคมปฏิเสธความรุนแรง ระบอบทักษิณไม่สามารถทำลายสถาบันได้ เพราะผู้จงรักภักดีสุดชีวิตมีมาก ในระบอบทักษิณเองก็ใช่ว่าคนรักทักษิณทั้งหมดจะเอาด้วยหากถึงขั้นคิดทำลายสถาบัน และถึงจุดหนึ่งกองทัพก็คงทนไม่ได้

(4) กองทัพ ไม่สามารถทำรัฐประหารได้ สมัยแห่งการทำรัฐประหารผ่านพ้นไปแล้ว รัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ผลในการแก้ปัญหา แต่กลับทำให้ยากลำบากมากขึ้น ถ้าทำรัฐประหาร กำลังประชาชนของระบอบทักษิณก็จะต่อต้าน หากจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามขึ้นมา ระบอบทักษิณก็รวมตัวต่อสู้ได้ทำนองเดียวกับที่ขบวนการ พธม. ต่อสู้กับอำนาจรัฐที่เป็นตัวแทนของทักษิณ รัฐประหาร จึงไม่ใช่คำตอบด้วยประการใดๆ แต่กองทัพทั้งสามเหล่าก็เป็นพลานุภาพสูงสุดของประเทศ ถ้าไม่ทำรัฐประหารก็จะมีบารมีที่อาจช่วยให้ประเทศมีทางออก ดังจะกล่าวต่อไป

ในวิกฤติแห่งการค้ำยันไม่มีใครแพ้ใครชนะชั่วคราวนี้ ถ้าป้องกันอย่าให้เกิดความรุนแรง ก็เป็นโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าในระนาบใหม่ได้

4. ในสภาวะค้ำยันจะทำอะไรกันได้บ้าง

ในสภาพค้ำยันไม่มีใครแพ้ใครชนะอย่างเด็ดขาด และดูเสมือนไร้ทางออกในปัจจุบัน อาจทำได้ดังต่อไปนี้

(1) ก็ต่อสู้กดดันกันต่อไปเพื่อแสวงหาความชอบธรรม แต่ต้องป้องกันความรุนแรง ไม่สร้างประเด็นที่จะเป็นชนวนของความรุนแรง กองทัพต้องทำหน้าที่ป้องกันความรุนแรง รัฐบาลต้องไม่สนับสนุนความรุนแรง ไม่ควรเอาสถาบันมาเป็นประเด็นของการต่อสู้ ทั้งการจาบจ้วงและการกล่าวหา

ควรจัดให้มีการใช้สื่อของรัฐอย่างเสมอภาค ให้สังคมทั้งประเทศได้รับทราบประเด็นและเหตุผลของแต่ละฝ่าย เมื่อสาธารณะเข้ามากำกับ การต่อสู้ก็จะสร้างสรรค์มากขึ้น การแพ้หรือชนะตัดสินกันด้วยความชอบธรรมที่พิสูจน์ต่อสังคม

(2) มองในแง่ดี ในประวัติศาสตร์ของชาติใดชาติหนึ่ง มักจะมีความติดขัดใหญ่ๆ ที่กว่าจะหลุดไปได้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ในสหรัฐอเมริกากว่าจะมามีประธานาธิบดีโอบามา ต้องผ่านสงครามกลางเมืองเรื่องเลิกทาส คนตายไปประมาณ 600,000 คน เวียดนามหลายล้าน เขมรหลายล้าน จีนเป็นสิบล้าน ฯลฯ ใน "มหาสยามยุทธ" ของการเผชิญหน้ากันใหญ่ขนาดนี้ เราคงไม่ต้องฆ่ากันตายเป็นเบือแบบในมหาภารตยุทธ และทำดีๆ อาจมีทางออกโดยไม่มีคนตายมากไปกว่านี้อีกแล้ว ดูให้ดีๆ อาจพบว่าคนไทยเป็นคนที่เจริญกว่าคนชาติอื่นเป็นอันมากก็ได้ ที่มีหัวใจสงสารผู้แพ้ ไม่ชอบการแตกหัก มักประนีประนอม

(3) แต่ละฝ่ายทำอะไรดีๆ แล้วจะมีทางออกเอง เช่น

(ก) ในการดำรงสภาวะเดิม-ไม่รัฐประหาร-ไม่ยุบสภา-ไม่ล้มรัฐธรรมนูญ รัฐบาล พปช. พยายามทำอะไรดีๆ ไม่ทำตัวเป็นนอมินีของใคร เอาชนะใจสาธารณะให้หันมาสนับสนุนรัฐบาลมากๆ รัฐสภารวมตัวกันแก้วิกฤติชาติด้วยวิถีทางรัฐสภา ถ้าจำเป็นก็ต้องตั้งรัฐบาลใหม่ที่แก้วิกฤติชาติได้

(ข) คุณทักษิณ ยุติการเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ส่งสัญญาณให้ พปช. และคนรักทักษิณทำอะไรต่อมิอะไร แต่ให้เขาเป็นอิสระ มีจิตสำนึก มีวิจารณญาณด้วยตนเองที่จะทำอะไรดีๆ คุณทักษิณควรจะเลือกอยู่ในความทรงจำทางประวัติศาสตร์ ว่า เป็นผู้ยุติการประหัตประหารครั้งใหญ่ใน "มหาสยามยุทธ" มากกว่าเป็นผู้จุดชนวนแห่งสงครามกลางเมืองระหว่างพี่น้องคนไทย คุณทักษิณเป็นคนเก่งที่หาได้ยาก หากเจริญสติและเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวเอง (Transformation) อาจถึงขั้นเป็นบุคคลของโลกได้

(ค) ยึดหลักนิติธรรม สังคมใดไม่ยึดหลักนิติธรรมจะเกิดจลาจล ถ้าคิดว่าระบบและกระบวนการยุติธรรมไม่ยุติธรรม ก็ขอให้มีคณะกรรมการที่มีความเที่ยงธรรมขึ้นมาตรวจสอบและรายงานต่อสาธารณะ ไม่พึงคุกคามศาล ระบบความยุติธรรมที่ถูกต้องเข้มแข็งเป็นเสาหลักของอารยะประชาธิปไตย

(ง) ทุกฝ่ายควรหาทางออกที่มีศักดิ์ศรีให้คู่ต่อสู้ ในสงครามเวียดนาม อเมริกาเป็นฝ่ายผิดที่ยกไปรบกับเขาถึงในบ้าน และแพ้สงครามกองโจรในเวียดนาม แต่อเมริกาแพ้เฉพาะสงครามกองโจรเท่านั้น ยังทรงมหิทธานุภาพที่จะบอมบ์เวียดนามให้ราพณาสูร หรือทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ก็ได้ ฉะนั้น เวียดนามทั้งๆ ที่เกลียดอเมริกาแสนเกลียดก็หาทางออกให้อเมริกาอย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อไม่ให้เสียหายมากไปกว่านั้น

เราคนไทยด้วยกัน ถึงอย่างไรๆ ในที่สุดก็ต้องหันกลับมาคืนดี เพื่อทำนุบ้านเมืองร่วมกัน ไม่ควรจะคิดทำลายล้างกันอย่างสุดๆ แต่หาทางออกให้คู่ต่อสู้อย่างมีศักดิ์ศรี

(จ) พธม. มีจุดแข็งอยู่ที่การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐโดยไม่ถูกต้อง สิ่งนี้มีคุณูปการต่อประเทศเหลือหลาย ต่อไปการเมืองจะไม่เหมือนเดิม นักการเมืองจะคอร์รัปชันได้ยากขึ้น เพราะเสี่ยงต่อการติดคุกติดตะราง พธม.ควรอยู่กับจุดแข็งของตัว คือ การตรวจสอบคอร์รัปชัน จะมีคนเข้าร่วมมากเพราะคนส่วนใหญ่รังเกียจคอร์รัปชัน พธม.ควรเปิดกว้างให้มีแนวร่วมมากๆ ลดความแข็งกร้าวลง ผู้กล้าหาญแต่สุภาพจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดความร่วมมือจากมหาชน หาก พธม. ตั้งมูลนิธิที่มีสมาชิกสัก 5 ล้านคนที่บริจาคคนละ 200 บาทต่อเดือน ก็จะมีเงินบริจาคถึงเดือนละ 1,000 ล้านบาท มีกำลังที่จะทำอะไรดีๆ ได้มาก อาทิเช่น ตั้งสถาบันตรวจสอบคอร์รัปชันที่เข้มแข็งสุดๆ พัฒนาระบบการสื่อสารทุกรูปแบบให้คนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึง ฝึกอบรมอาสาสมัครสัก 200,000-300,000 คน ที่ตั้งอยู่ในความสุจริต มีความกล้าหาญ มีความรู้ มีเหตุผล มีน้ำใจเพื่อเพื่อนมนุษย์ รักสันติ เป็นกัลยาณมิตรกับคนทั่วแผ่นดิน เมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่หว่านลงทั่วแผ่นดิน จะไปช่วยให้เกิดความดีงามงอกงามขึ้นทั่วไป แผ่นดินก็จะมีภูมิคุ้มกันที่จำกัดไม่ให้ความไม่ดีแม้จะมีหลงเหลืออยู่ไม่อาจลุกลามก่อให้สังคมเจ็บป่วย ประเทศไทยไม่สามารถไล่ฆ่าเชื้อไม่ดีให้หมดไปจากตัวได้ เพราะตัวจะตายไปกับการไล่ฆ่านั้น การสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศแข็งแรงง่ายกว่าและดีกว่า

(ฉ) ทุกคนทุกฝ่ายทุกกลุ่มร่วมสร้างประชาธิปไตยของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน เราไม่มีทางออกทางอื่นเลยนอกจากระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน เรามีกฎหมายและโครงสร้างรองรับพร้อมแล้ว ขาดแต่ความเข้าใจของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะต่อสู้กันอย่างไรๆ หรือผลของการเผชิญหน้าจะเป็นอย่างไร ในที่สุด ทุกฝ่ายก็จะค้นพบว่าต้องสร้างอารยะประชาธิปไตยหรือประชาธิปไตยของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน บ้านเมืองจึงจะลงตัว เรื่องนี้จะได้แยกกล่าวเป็นต่างหากออกไป

(ช) กองทัพ เมื่อไม่ทำรัฐประหาร ย่อมมีบารมีที่ทุกฝ่ายจะรับฟังมาก ควรชักจูงส่งเสริมให้ทุกฝ่ายทำเรื่องดีๆ เช่นดังที่กล่าวมาข้างต้นทุกข้อ สงครามมหาสยามยุทธ ก็จะกลายเป็นแรงส่งให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความลงตัวและเจริญอย่างแท้จริง ถึงกับเข้าสู่ยุคศรีอาริยะก็ได้

5.วันแห่งการขอโทษอันยิ่งใหญ่-วันแห่งการให้อภัยอันยิ่งยง

(Grand Apology - Great Forgiveness)

เราคนไทยด้วยกัน จะอยู่ด้วยมลพิษทางจิตใจฝังแค้นไปชั่วกัปชั่วกัลป์ไม่ได้ ถ้าเราได้ร่วมกันทำอะไรดีๆ เพื่ออนาคตของเราร่วมกัน จะเกิดความเชื่อถือไว้วางใจกัน (Trust) ความเชื่อถือไว้วางใจกันเป็นทุนอันยิ่งใหญ่ของชาติ ที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน แต่ร่วมกันสร้างได้ด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์

จนถึงวันหนึ่งเราทุกคนมีความมั่นใจและกล้าหาญพอที่จะกล่าวคำว่า "ผมขอโทษ" หรือ "ฉันขอโทษ" คำว่าขอโทษเป็นคำอันยิ่งใหญ่ ที่คนที่มีจิตใหญ่เท่านั้นจะกล่าวได้

เมื่อมีการขอโทษ (Apology) สิ่งที่ตามมา คือ การให้อภัย (Forgiveness) การขอโทษและการให้อภัยจะชำระล้างมลพิษทางจิตใจของทุกคนออกไป เหลือแต่ความใสสะอาดที่จะก้าวไปข้างหน้าร่วมกันด้วยความปีติโสมนัสชาติที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะมีการขอโทษอันยิ่งใหญ่ และการให้อภัยอันยิ่งยงได้

การขอโทษและการให้อภัยจะเปิดพื้นที่ในหัวใจเมื่อพื้นที่ในหัวใจเปิด จะเกิดปาฏิหาริย์ในเรื่องที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

วิกฤติสุดๆ เป็นโอกาสสุดๆ ของคนไทยแล้วที่จะร่วมกันสร้างปาฏิหาริย์ออกจากภพภูมิเก่าๆ อันชำรุดทรุดโทรม ไปสู่ภพภูมิใหม่แห่งการพัฒนาที่เป็นสังคมการเมืองอาริยะประชาธิปไตย-ธรรมาธิปไตย ที่คนไทยจักมีศานติสุขถ้วนหน้าไปชั่วกาลนาน

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์, 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551  

ตรวจสอบการเมืองภาคประชาชนเชิงสถาบัน



วันที่ 11 ฟฤศจิกายน พ.ศ. 2551

 

"ตรวจสอบการเมืองภาคประชาชนเชิงสถาบัน"

โดย ประภาส  ปิ่นตบแต่ง

ความไม่เพียงพอของประชาธิปไตยแบบตัวแทนของสังคมไทยได้นำมาสู่การยืดขยาย และทำให้เข้มแข็งมากขึ้น โดยการสร้างการเมืองภาคประชาชนในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อการเลือกตั้งเป็นสิ่งจำเป็นแต่ไม่เพียงพอเสียแล้ว เราจึงเห็นความพยายามที่จะออกจากปัญหาดังกล่าวเรื่อยมา

 

หลังการใช้รัฐธรรมนูญ 2550 (ซึ่งคณะผู้ยกร่างฯ บอกว่าหัวใจอยู่ที่การเมืองภาคประชาชน) เป็นเวลามากกว่า 1 ปี จึงควรมาช่วยกันดูว่า มีความคืบหน้า ล้าหลัง กันไปอย่างไรบ้าง

 

ด้านหนึ่ง มีกฎหมายลูกเพื่อทำให้เกิดพื้นที่ กลไก ของการเมืองประชาชน ที่จะต้องออกตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 1 ปี (มีบางฉบับกำหนดไว้ 2 ปี) จะพบว่ามีความคืบหน้าน้อยมาก ที่ก้าวหน้ามากที่สุด ก็คือ ร่าง พ.ร.บ. การทำประชามติ ซึ่งอยู่ในขั้นวุฒิสภา อาจจะเป็นเพราะรัฐบาลคุณสมัครต้องเร่งทำให้เสร็จ เพื่อจะเอามาเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง

 

กฎหมายอื่นๆ ส่วนใหญ่อยู่ในขั้นการยกร่างเท่านั้น อาทิเช่น ร่างพระราชบัญญัติการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ (ตาม ม. 190) ร่าง พ.ร.บ. องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม (ตาม ม. 67) ร่าง พ.ร.บ. การมีส่วนร่วมของประชาชน (ตาม ม. 87 และ 287) ฯลฯ

 

ข้อสังเกตโดยเบื้องต้น ก็คือ กฎหมายเหล่านี้มีความสำคัญที่จะช่วยขยายพื้นที่การเมืองภาคประชาชนเชิงสถาบันให้ลงรากปักฐาน แต่กลับไม่มีความคืบหน้ามากนัก ไม่มีใครให้ความสนใจเข้าไปตรวจสอบ กำกับ หรือผลักดันให้เป็นไปในทิศทางที่ดี กฎหมายเหล่านี้ จึงไม่ได้ร่างโดยผู้คนในสังคม กระบวนการพิจารณาร่างโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ดังเช่น ร่าง พ.ร.บ. การทำประชามติ ก็ไม่มีใครเข้าไปตรวจ กำกับ แต่อย่างใด

 

ภาคประชาชนเคยตั้งท่าที่จะเข้าชื่อ 10,000 รายชื่อ เพื่อเสนอกฎหมายลูกเหล่านี้ ควบคู่ไปกับฝ่ายรัฐบาลที่มอบหมายให้มีผู้ยกร่างฯ แต่ก็แทบจะไม่มีการดำเนินการเลย

 

กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ซึ่งติดตามและผลักดัน และยกร่างพระราชบัญญัติการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ พยายามรวบรวมรายชื่อให้ครบ 10,000 ชื่อ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2551 โดยรณรงค์หน้ากระทรวงการต่างประเทศ แต่ก็ดูเหมือนว่า จะถอดใจ โดยได้ส่งร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวยื่นไปที่กระทรวงต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ยกร่างฝ่ายรัฐบาลโดยตรง

 

ร่าง พ.ร.บ. องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม เครือข่ายองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมให้ความสนใจ และมีการยกร่างฯ ขึ้นมา ส่วนความพยายามรวบรวมรายชื่อ เพื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน ก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในสถานะเดียวกัน

 

ตัวอย่างเหล่านี้ พอแสดงให้เห็นถึงสถานะ และชะตากรรมของกฎหมายลูกตามรัฐธรรมนูญ 2550 ว่า คงไม่เสร็จตามกำหนดเวลา 1 ปี (ในราวเดือน ก.พ. 2552) และคงจะเป็นกฎหมายที่ถูกยกร่างฯ จากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก

 

ทีนี้ ลองดูการใช้กลไกการเมืองภาคประชาชน ที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2550 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ช่องทางสำคัญหนึ่ง คือ การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน จะพบว่ามีความพยายามของประชาชนที่จะใช้ช่องทางดังกล่าวนี้อยู่บ้าง แต่ไม่กว้างขวางมากนัก และยังมีอุปสรรคสำคัญในเชิงการจัดการ และต้นทุนที่สูง

 

กฎหมายที่มีความพยายามใช้ช่องทางนี้อย่างแข็งขันที่สุด ก็คือ ร่าง พ.ร.บ. สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่ผลักดันโดยสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานฯ และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

 

การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2550 และมีการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2550 โดยตั้งเป้าว่าจะรวบรวมให้เสร็จภายในเดือนมีนาคม 2551 เพื่อให้ทันกับวันครบรอบ 15 ปี โศกนาฏกรรมเคเดอร์ไฟไหม้ตึกถล่ม (ตรงกับวันที่ 10 พฤษภาคม 2551) แต่จนถึงปัจจุบันรายชื่อทั้งหมดสามารถรวบรวมได้ประมาณ 5,000 รายชื่อ คุณสมบุญ สีคำดอกแค บอกว่า ปัญหาใหญ่สำหรับการจัดการ คือ เรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงมาก

 

ร่างกฎหมายโดยประชาชนที่ดูจะไปได้มากที่สุดในแง่การจัดการ ก็คือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพร้อมรายชื่อประชาชน สองแสนหนึ่งหมื่นรายชื่อ เพื่อประกอบในการยื่นญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ตามมาตรา 291 (1) ต่อประธานรัฐสภา ที่เสนอโดยคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2551

 

ที่น่าสนใจอีกฉบับหนึ่ง ก็คือ ร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) รายชื่อยังอยู่ระหว่างการรวบรวม ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้น (คัดค้านตั้งแต่การเข้าสู่ที่ประชุม สนช. จนผ่านความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 และเริ่มรวบรวมรายชื่อในวันที่ 21 ธันวาคม 2550) จนถึงตอนนี้ สามารถรวบรวมได้เพียง 8,000 รายชื่อ

 

ด้านกลไกการถอดผู้บริหารโดยประชาชน มีการเสนอรายชื่อการถอดถอนนายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีสาธารณสุข โดยมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และเครือข่าย/ชมรมแพทย์ต่างๆ ซึ่งถือเป็นการทดลองการเข้าชื่อครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญใหม่ อีกกรณีหนึ่ง ก็คือ การถอดถอนนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.และ ส.ว.จำนวนหนึ่ง ที่ร่วมลงนามเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยพันธมิตร

 

ข้อสังเกต ก็คือ กลไกเชิงสถาบันของการเมืองภาคประชาชน มักถูกหยิบขึ้นมาใช้เพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองในระดับที่ต้องการให้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง ให้เป็นข่าว เมื่อหมดหน้าที่ของมันในลักษณะดังกล่าวก็จะถูกเมินเฉย หรือโยนทิ้งไป ไม่แยแสอีกต่อไป ปัญหาการจัดการ ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูง ทำให้ชาวบ้าน คนงาน และคนจน ใช้กลไก ช่องทางเหล่านี้ลำบาก

 

สิ่งสำคัญที่ตามมา ก็คือ เมื่อใช้เป็นเพียงเครื่องมือแคบๆ เช่นนี้ เราจะไม่สามารถหาบทเรียนและพัฒนากลไกเหล่านี้ให้ลงรากปักฐาน และให้คนเล็กคนน้อยสามารถใช้ได้ในระยะยาวต่อไป เรื่องเช่นนี้จะช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ได้อย่างไร ก็เห็นทีจะยาก เพราะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ และความสนใจของผู้คนในสังคมขณะนี้เอาเสียเลย

 

( bangkokbiznews.com) 

 

 

Thursday, October 30, 2008

ความรุนแรงข้างใต้สันติวิธี




"ความรุนแรงข้างใต้สันติวิธี"

โดย  สมชาย  ปรีชาศิลปกุล

มีคนจำนวนไม่น้อยได้พยายามกระทำในหลายวิถีทาง เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งทางการเมืองแปรไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่กันในปัจจุบัน

 

ความพยายามดังกล่าวซึ่งมาจากหลายฝ่ายเป็นสิ่งที่ควรต้องได้รับการผลักดันและสนับสนุนให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เพื่อเป็นเสียงสะท้อนของบรรดาพวก "2 ไม่เอา" อันหมายถึง กลุ่มคนที่ไม่ได้เข้าไปยืนอยู่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างเต็มตัว และรวมถึงกลุ่มซึ่งต้องการมองหาทางออกจากความขัดแย้งที่ดูราวกับว่าจะหาทางเดินหน้าต่อไปไม่ได้

 

แต่การกระทำที่เอ่ยถึงมาข้างต้น คงไม่อาจจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ ถ้าหากมุ่งเป้าไปเฉพาะที่การประณามการตีหัวกันไม่ว่าจะเป็นระหว่าง 2 ฝ่าย หรือโดยเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนเท่านั้น

 

ควรเข้าใจว่าการตีหัวหรือทำร้ายกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลือง/เสื้อแดง มิใช่เป็นผลมาจากการเหยียบตาปลาหรือการเหม็นขี้หน้าอีกฝ่ายเท่านั้น การลงมือทำร้ายกลุ่มคนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางส่วนตัวกัน แทบจะไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน แม้กระทั่งอีกฝ่ายหมดทางป้องกันตัวแล้วยังมีการทำร้ายได้อย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการกระทำในลักษณะเช่นนี้ แม้กระทั่งกับสัตว์เดรัจฉาน ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากสำหรับคนธรรมดาทั่วไป

 

อะไรคือเหตุผลสำคัญของเรื่อง และจะทำให้ความรุนแรงนี้บรรเทาลงได้อย่างไร

 

การแสดงออกที่กล่าวมาข้างต้นเป็นผลมาจากกระบวนการกล่อมเกลา การให้ข้อมูล อย่างต่อเนื่องที่ทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือศัตรู เมื่อเป็นศัตรูหรือหมายถึงผู้ที่ไม่ควรจะดำรงอยู่รวมกันแล้ว การใช้กำลังในลักษณะที่คนธรรมดาไม่กระทำต่อกันจึงบังเกิดขึ้น

 

หากพิจารณาความยุ่งยากที่ปรากฏตัวอยู่ ณ ปัจจุบัน ไม่อาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงแค่ความเห็นต่างทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย หากมีสภาพที่กำลังดำเนินไปสู่การสร้างสงครามขึ้นระหว่างคนสองกลุ่ม โดยที่ต้องกำจัดอีกกลุ่มหรืออีกฝ่ายให้สูญสิ้นไป การใช้วลี "สงคราม" มาเป็นคำอธิบายการเคลื่อนไหว และรวมไปถึงการสร้าง "นักรบ" ไม่ว่าจะเป็นศรีวิชัยหรือพระเจ้าตาก จึงไม่ได้มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น แต่มีส่วนอย่างสำคัญต่อการกำหนดท่าทีว่าควรและจะกระทำอย่างไรต่ออีกฝ่ายหนึ่ง

 

เมื่อเป็นสงครามเสียแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องสู้เพื่อให้รู้แพ้รู้ชนะ ในสงครามการเสมอหรือเจ๊ากันเป็นสิ่งที่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายไม่ประสงค์จะให้เกิดขึ้นแน่นอน

 

ในการต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ การปลุกเร้าผู้สนับสนุนและกองกำลังของตนจึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้ภาษาและเรื่องเล่าที่จะนำมากระตุ้น ชี้นำ เพื่อนำไปสู่ทั้งความเกลียดชังต่ออีกฝ่ายและความฮึกเหิมให้เพิ่มทวีมากขึ้น

 

ต้องทำให้อีกฝ่ายไร้ความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทำให้อีกฝ่ายคือพวกที่กระทำความผิด ชั่วช้าสารเลว ผิดอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ด้วยการละเมิดต่อหลักการหรือสถาบันบางอย่างที่มีความสำคัญต่อความหมายของฝ่ายตน การกระทำของฝ่ายเราคือการพิทักษ์ความดีที่ควรได้รับการยกย่องอย่างไร้ข้อกังขา

 

เมื่อเป็นดังนี้ จึงทำให้การตีหัวหรือทำร้ายอีกฝ่ายเกิดขึ้นได้ ดังเช่นที่ "ผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์" เคยกระทำต่อ "พวกคอมมิวนิสต์" มาแล้วกลางเมืองหลวงเมื่อ 30 ปีก่อน

 

การห้ามปรามหรือประณามการตีหัวอาจเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้ แต่หากยังปล่อยให้กระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ ยังคงมีลักษณะที่เป็นไปในรูปของสงคราม ไพร่พลที่อยู่ในทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งสะสมความเกลียดชังอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแน่นอน ก็พร้อมที่จะระเบิดความรู้สึกดังกล่าวออกมาได้ เมื่อมีสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยในวันใดวันหนึ่ง

 

การยุติความรุนแรงจึงมิใช่แต่เพียงด้วยการห้ามการตีหัว หากหมายรวมไปถึงการทำให้เกิดการมองผู้อื่นว่าเป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับตน มีเลือดมีเนื้อ มีญาติพี่น้อง มีคนที่รักเขาและมีคนที่เขารัก ที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือทั้งหมดล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมแห่งนี้ รวมถึงมีเหตุผลอะไรสนับสนุนการกระทำหรือการเลือกข้างของเขาเช่นเดียวกับที่เรามีคำอธิบายในการตัดสินใจเลือกฝ่ายของตน

 

การทำความเข้าใจมากกว่าการประณามแบบสาดเสียเทเสีย จะเป็นสิ่งที่ทำให้มองเห็นได้ว่าอะไรคือปัญหาข้อบกพร่องของสังคมการเมืองไทย รวมทั้งจะหาวิธีการออกไปจากปัญหาด้วยความร่วมมือ และความเห็นร่วมกันของสังคมได้อย่างไร

 

ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สงคราม และไม่อาจจัดการได้ด้วยการใช้กำลังเข้ากวาดล้างอีกฝ่าย เพื่อให้เกิดยุคพระศรีอารีย์ขึ้นภายในพริบตา

 

ทางข้างหน้าที่ก้าวไปต่อเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ความคิดและความเอื้ออาทรในฐานะของเพื่อนร่วมสังคมที่ต่างก็ต้องอาศัยอยู่ในสังคมแห่งนี้ต่อไปรวมถึงลูกหลานของทุกฝ่าย ไม่มีใครสามารถนำสังคมไทยในวันนี้ไปได้ด้วยเพียงลำพังกลุ่มตนแต่เพียงกลุ่มเดียว

 

ทางออกไปจากความรุนแรงที่แอบแฝงในขณะนี้ เป็นไปได้ก็ด้วยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะการลดทอนภาวะของสงครามให้หมดสิ้นลง ซึ่งกระทำได้ด้วยการเผชิญหน้ากับข้อขัดแย้งต่างๆ ด้วยความจริงให้มากขึ้น การใช้ข้อมูลเพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึก การปั้นข้อมูลเท็จในเรื่องนับร้อยพันในห้วงเวลาที่ผ่านมาของทุกฝ่ายต้องถูกตั้งคำถามหรือตรวจสอบ การละเลยโดยปล่อยการโป้ปดผ่านสื่อมวลชนต่างๆ ไม่ว่าจะสื่อของเอกชนหรือรัฐต้องไม่ถูกปล่อยให้เป็นเสรีภาพเพื่อสร้างความเกลียดชัง

 

อาจมีความเห็นต่างระหว่างแต่ละกลุ่ม แต่ต้องไม่ทำให้ความเห็นต่างนั้นนำไปสู่ความไม่เป็นมนุษย์ เงื่อนไขเช่นนี้ต่างหากที่จะทำให้ความเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งดำเนินไปอย่างสันติและเคารพในความเป็นมนุษย์ระหว่างกันและกัน

 

การเคลื่อนไหวที่แฝงไปด้วยความเกลียดชัง และพร้อมจะตีหัวผู้อื่นทุกเมื่อ ย่อมไม่อาจนับเป็นสันติวิธีได้หากเป็นเพียงเครื่องมืออันน่ารังเกียจของผู้แสวงหาประโยชน์ทางการเมืองไม่ว่าจะกระทำโดยฝ่ายใดก็ตาม

 

ที่มา  :  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์,วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551



 

Tuesday, October 28, 2008

หยุดให้ท้ายพันธมิตร หยุดอนาธิปไตย หยุดรัฐประหาร !!!




เครือข่ายสันติประชาธรรมรณรงค์หยุดนำมวลชนปะทะ หยุดให้ท้ายพันธมิตร หยุดอนาธิปไตยและรัฐประหาร 

 

วันที่ 26 ต.ค. เวลา 14.00 น. ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คณาจารย์และนักเคลื่อนไหวเครือข่ายสันติประชาธรรม และสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) แถลงการณ์เรียกร้องต่อผู้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองไทย 3 ข้อคือ 1 ขอให้แกนนำการเคลื่อนไหวทุกฝ่ายหยุดนำมวลชนมาปะทะกัน 2 เรียกร้องต่อทุกภาคส่วนของสังคม หยุดให้ท้ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ 3 ขอเรียกร้องต่อผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ให้หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหาร

 

โดยหลังจากแถลงการณ์ดังกล่าว เครือข่ายสันติประชาธรรมจะได้ดำเนินการรณรงค์หยุดพฤติกรรมทั้งสามต่อไป โดยเริ่มจากแจกจ่ายโปสเตอร์รณรงค์จำนวน 3,000 แผ่น ไปตามสถานศึกษาและประชาสัมพันธ์ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ รวมถึงจะจัดเสวนาทางวิชาการอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย

 

โดยผู้ที่สนใจกิจกรรมของเครือข่ายสันติประชาธรรม รวมถึงผู้ที่เห็นด้วยกับแนวทางของเครือข่ายสามารถติดตามกิจกรรมและข้อมูลข่าวสารได้จาก http://ruleoflawthailand.wordpress.com/

 

นายพรสันต์ เลี้ยงบุญลิศชัย อาจารย์คณะนิติศาสตร์หาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวว่า พันธมิตรจะต้องตระหนักถึงประเด็นความชอบธรรมตามกฎหมายซึ่งเมื่อพิจารณาจากคำสั่งศาลปกครองซึ่งวินิจฉัยชัดเจนว่า การชุมนุมของพันธมิตรเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ ตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 63 และการชุมนุมในสถานที่ราชการรวมทั้งการขัดขวางการปฏิบัติงานของภาคราชการนั้นเป็นการกระทำที่เกินกว่าขอบเขตการคุ้มครองของกฎหมาย และเป็นการละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น ดังกรณีจากการที่พันธมิตรฯ ถูกกลุ่มอาจารย์โรงเรียนราชวินิต ฟ้องต่อศาลแพ่ง

 

นายพรชัยกล่าวด้วยนี้ ประเด็นความขัดแย้งทางการเองขณะนี้ ส่วนหนึ่งก็น่าจะทำให้ต้องมาทบทวนเรื่องกฎหมายการชุมนุม ว่าจะมีขอบเขตแค่ไหน ซึ่งก่อนหน้านี้มีการดำเนินการพิจารณากฎหมายดังกล่าวในสมัยของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่วาระตกไปเนื่องจากมีการพิจารณากันว่ากฎหมายเคร่งครัดเกินไป

 

นายเกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำคณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่ารูปแบบการชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อสร้างความเกลียดชัง มิใช่การเคลื่อนไหวเพื่อให้ข้อมูลความรู้ หรือทำให้สังคมเข้าใจแก่นแท้ของกิจกรรมทางการเมือง ทั้งนี้ นายเกษมกล่าวว่าจากคำปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุลซึ่งกล่าวว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร แต่การให้ข้อมูลข่าวสารนั้นต้องประกอบด้วยข้อเสนอและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

 

ประเด็นต่อมาคือเรื่องข้อเสนอการเมืองใหม่ ซึ่งแสดงถึงความไม่เชื่อมั่นต่อการปกครองระบอบรัฐสภา ซึ่งอยากขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายกลับมาเชื่อมั่นต่อระบอบรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส. และส.ว. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองแบบรัฐสภา

 

นายเกษมกล่าวด้วยว่า ปัญหาของประเทศชาติขณะนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องการเมืองหรือเรื่องพันธมิตรฯ อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆ ที่รัฐบาลจะต้องให้ความสนใจและแก้ปัญหาด้วยแต่ปัญหาของประเทศกลับถูกกลุ่มการเมืองต่างๆ เคลื่อนไหวแบบยื้อเวลา และเห็นว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ เป็นร่องรอยของความกลัวที่จะอยู่ภายใต้ระบอบกติกา ทั้งๆ ที่พันธมิตรเองเป็นฝ่ายยื่นกติกามาโดยตลอด

 

นายอภิชาติ สถิตนิรมัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาลิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเรียกร้องขอให้สังคมหยุดการเมืองแห่งความรุนแรงและความเกลียดชัง แ ละการเมืองไทยขณะนี้ถูกครอบงำโดยแกนนำการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่คน ทั้งๆ ที่มวลชนของแต่ละฝ่ายมีหลายเฉด และไม่ได้เห็นด้วยกับแกนนำไปทุกเรื่อง ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่สังคมและประชาชนจะต้องแสดงพลัง เป็นกำลังหลัก และขอเรียกร้องต่อคนที่สังคมให้การยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นราษฎรอาวุโส ผู้นำทางศาสนา และสื่อมวลชนต้องกลับมาต่อต้านและประณามความผิดพลาดของทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม

 

นายอภิชาติ ตอบคำถามที่ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเหตุจากความล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ว่า ความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าคือการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อสร้างความเกลียดชัง มองเห็นความเป็นมนุษย์ไม่เท่าเทียมกัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้ชุมนุมจะแสวงหาอาวุธมาปกป้องตัวเอง และสร้างบรรยากาศแห่งสงคราม และเมื่อพื้นฐานของการเคลื่อนไหวเป็นแบบนี้ ต่อให้ตำรวจมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ 100 เท่าก็จัดการไม่ได้ 

 

พวงทอง ภวคพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การที่พันธทิตรเรียกร้องให้ทหารออกมาปกป้องพันธมิตก็คือการเปิดทางให้กับการรัฐประหาร ทั้งนี้ปรสบการณ์ของประเทศไทยที่ผ่านมาชัดเจนอยู่แล้วว่า ทหารไม่ได้ถูกฝึกมาให้จัดการกับมวลชนหรือการชุมนุมของประชาชน แต่ทหารถูกฝึกให้รบ หากทหารออกมาแสดงบทบาทก็จะต้องปะทะกับตำรวจและนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้น

 

พวงทองย้ำว่า การดูแลการชุมนุมนั้นเป็นหน้าที่ของตำรวจ แม้ว่าที่ผ่านมา ตำรวจจะต้องรู้สึกน้อยใจบ้าง เพราะได้พยายามอดทนมาโดยตลอด แต่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 ต.ค. ทำให้ฝ่ายตำรวจถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าตำรวจจะต้องวางตัวเป็นกลาง และไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ โดยเฉพาะกลุ่มของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค

 

สำหรับประเด็นการให้ท้ายพันธมิตรฯ นั้น ที่ผ่านมา กลุ่มต่างๆ ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรฯ ที่ทำการละเมิดหลักการประชาธิปไตย และนี่เป็นปัญหาที่ส่งผลให้ฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่ยอมลดท่าทีเพื่อเจรจาหรือต่อรองใดๆ

 

นายประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่าการวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มทางการเมืองอื่นๆ และโดยเฉพาะรัฐบาลนั้น สื่อและกลุ่มทางสังคมได้ทำหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์ไปมากแล้ว และที่จริงก็ไม่ควรจะวิจารณ์รัฐบาลมากเกินกว่าเหตุแต่ปิดตาข้างเดียวไม่เห็นความผิดของพันธมิตรฯเลย

 

และในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ ในเมื่อพันธมิตรฯ เป็นฝ่ายที่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง พันธมิตรฯก็อยู่ในฐานะที่จะคืนความสลบสุขให้กับสังคมได้ด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมา ฝ่ายพันธมิตรฯ เองเป็นฝ่ายรุกมาโดยตลอด ขณะที่รัฐบาลเป็นฝ่ายตั้งรับ และพันธมิตรฯ รุกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดคำถามว่าประเด็นของพันธมิตรฯ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และหลายๆ กลุ่มก็พยายามหาทางลงให้กับพันธมิตรฯ เช่นกรณีของ 24 คณบดี แต่พันธมิตรฯ ก็ปฏิเสธมาตลอด จนประชาชนเกิดคำถามว่าเป้าหมายปลายทางของพันธมิตรฯ อยู่ตรงไหน

 

ดังนั้นแล้ว เมื่อพันธมิตรเองก็เสนอเรื่องการเมืองใหม่ ทำไมจึงไม่ถอยออกมาและเข้าร่วมกับกลุ่มอื่นๆ ทางสังคมร่วมกันปฏิรูปการเมืองใหม่

 

โดยนายประจักษ์เห็นว่าข้อเสนอเรื่อง สสร. 3 นั้นไม่ได้เสียหายอะไร และควรใช่โอกาสนี้สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ทางการเมืองร่วมกัน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งหากทำได้เช่นนั้น การแก้รัฐธรรมนูญก็จะเป็นเรื่องบยอมรับได้มากขึ้น

 

นายประจักษ์กล่าวด้วยว่า ปัญหาของการชุมนุมทางการเมืองขณะนี้คือ แต่ละฝ่ายไม่ได้เชื่อมั่นในสันติวิธีอย่างแท้จริง จึงกลายเป็นเพียงสันติวิธีแบบเลือกใช้ตามความพอใจ (Selective Non-violence) ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด เพราะทำให้สันติวิธีกลายเป็นเพียงวาทศิลป์ โดยที่ผู้ชุมนุมไม่ได้ปฏิเสธความรุนแรงในการแก้ปัญหา จึงอยากขอร้องต่อพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงให้หยุดการฝึกนักรบพระเจ้าตากด้วย

 

นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ กล่าวว่า ถานการณ์การเมืองไทยขณะนี้มองในแง่หนึ่งก็เป็นไปตามสถานการณ์การเมืองในโลกที่สามอื่นๆ คือรัฐอ่อนแอลง และเกิดกรณีการท้าทายอำนาจรัฐเช่นนี้ทั่วโลก ยกเว้นในกรณีขงประเทศพัฒนาแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากลักษณะเฉพาะของการเมืองไทยแล้ว น่าสนใจว่ามีการต่อสู้ของฝ่ายประชาชนจนกระทั่งยกระดับเป็นขบวนการกลุ่มประชาชน ต่างพยายามนำเสนอความชอบธรรมของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยที่รัฐไม่ได้แสดงบทบาทเป็นฝ่ายผลิตชุดความเชื่อใดๆ มาตอบโต้ ซึ่งเป็นภาพที่ต่างไปจากอดีต

 

สำหรับสถานการณ์จากนี้ไป เป็นเรื่องยากที่จะตอบเพราะความขัดแย้งนี้จะไม่มีวันจบ จะยืดเยื้อและที่สุดแล้วอำนาจรัฐจะต้องลงจัดการความขัดแย้ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าอำนาจรัฐจะอยู่ฝ่ายไหน ส่วนคำถามที่สังคมต้องการมากขณะนี้คือ เมื่อไหร่ความขัดแย้งจะยุตินั้นอาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่า หลังจากนี้ไป โครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิม แต่คำถามคือสังคมไทยจะรับได้มากน้อยแค่ไหน

 

หยุดนำมวลชนมาปะทะกัน! 

หยุดให้ท้ายพันธมิตร! 

หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหาร!

 

ในขณะนี้เป็นที่ชัดเจนว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ในภาวะตึงเครียดอย่างยิ่ง อันเป็นผลจากการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่าง ๆ จนทำให้เกิดความเชื่อโดยทั่วไปว่าสังคมไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะ-นองเลือดระหว่างประชาชนสองขั้วได้ พวกเราในฐานะกลุ่มทางสังคมที่ห่วงใยต่อชีวิตของประชาชนจึงขอเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

 

1. หยุดนำมวลชนมาปะทะกัน

เราขอเรียกร้องให้ผู้นำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่ม พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ยุติการเคลื่อนไหว ด้วยวิธียั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและโกรธแค้นซึ่งกันและกัน และยุติการเคลื่อนมวลชนของตนออกจากที่ตั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกับอีกฝ่ายหนึ่ง

 

เราขอเรียกร้องให้ผู้นำพันธมิตรนปช. และพล.ต.อ.สล้างตระหนักว่าสังคมไทยไม่จำเป็นต้องสร้างวีรบุรุษ-วีรสตรีในลักษณะเช่นนี้ พวกท่านไม่ควรเห็นมวลชนของตนเองเป็นเพียงหมากทางการเมืองเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น  ต่อจากนี้ไป หากเกิดความรุนแรงต่อชีวิตของประชาชน ผู้นำของกลุ่มเหล่านี้ จักต้องรับผิดชอบ

 

2. หยุดให้ท้ายพันธมิตร

สาเหตุสำคัญที่ทำให้วิกฤติการเมืองในขณะนี้เดินมาสู่ “ทางตัน ก็คือ ผู้นำฝ่ายพันธมิตรฯ ปฏิเสธไม่ยอมเจรจาประนีประนอมทางการเมือง แต่ยืนยันที่จะใช้วิธีแตกหักเพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ระบอบ “การเมืองใหม่ ของตนซึ่งเป็นระบอบเผด็จการคนส่วนน้อยและสวนทางกับหลักการประชาธิปไตย ประการสำคัญ ในขณะที่ผู้นำพันธมิตรอ้างว่าตนทำเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ข้อเสนอที่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามามีอำนาจทางการเมืองโดยตรง เช่น มีอำนาจในการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพโดยตรง เท่ากับต้องการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลต่อสถานะที่เป็นกลางและอยู่เหนือการเมืองของสถาบันฯ ในระยะยาว

 

นอกจากนี้ ที่ผ่านมากลุ่มต่าง ๆ ในสังคมที่ควรวางตัวเป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ราษฎรอาวุโส องค์กรสิทธิมนุษยชน วุฒิสมาชิก และสื่อมวลชน ต่างไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เป้าหมายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และยุทธวิธียั่วยุให้เกิดความรุนแรงของฝ่ายพันธมิตร จึงกล่าวได้ว่าในขณะนี้เราไม่มีบุคคลหรือสถาบันใดในสังคมที่ได้รับความยอมรับจากทุกฝ่ายว่าเป็นกลางอย่างแท้จริง ทำให้โอกาสของการเจรจาเพื่อหาทางออกกับคู่ขัดแย้งริบหรี่ลงจนแทบเป็นไปไม่ได้

 

กระนั้น เราเห็นว่ายังไม่สายเกินไปที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะยุติการอุปถัมภ์ค้ำจุนกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างผิดๆ และเริ่มต้นวิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร นปช. รัฐบาล กองทัพ ตำรวจ ตลอดจนระบบตุลาการอย่างเที่ยงตรงและเท่าเทียมกัน เราเชื่อมั่นว่าด้วยแนวทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้เกิดการสานเสวนาที่วางอยู่บนข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างแท้จริง

 

3. หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหาร

เราขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการว่า “การแก้ไขความขัดแย้งจะต้องอยู่ในกฎกติกา ไม่ใช่ด้วยอาวุธและความรุนแรง การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ซ้ำยังทำให้ความขัดแย้งแบ่งฝ่ายทางการเมืองขยายตัวสูงขึ้น ประการสำคัญ ภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองขณะนี้ ชวนให้เชื่อได้ว่าหากเกิดการรัฐประหารหรือยึดอำนาจรัฐด้วยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเกิดการจลาจล และนองเลือดของประชาชนครั้งใหญ่ และหากเป็นเช่นนั้นจริง บรรดาผู้ก่อการรัฐประหารจะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมและหายนะที่ท่านมีส่วนก่อให้เกิดขึ้น

 

 

เครือข่ายสันติประชาธรรม

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)

 

ที่มา   :   ประชาไทออนไลน์, 26  ตุลาคม 2551

 

ทำไมทักษิณ ทักษิณทำไม



โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์



คอลัมน์วิภาคแห่งวิพากษ์ในมติชน 22 ต.ค.2551 ตั้งคำถามว่า แม้มีรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.49 พรรคที่เชื่อมโยงกับคุณทักษิณ ชินวัตร ก็ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเหนือคู่แข่งอย่างท่วมท้น และถึงแม้จะเลือกตั้งอีก ชื่อของคุณทักษิณซึ่งหมดสิทธิลงเล่นการเมืองแล้ว ก็จะนำพรรคให้ได้คะแนนนำอยู่ดี

"คำถามก็คือ ระบบทักษิณอันเป็นผลิตผลแห่งระบอบทักษิณสามารถดำรงอยู่เพราะเหตุปัจจัยใด"

ผมอยากเสี่ยงตอบคำถามนี้ ด้วยความรู้และข้อมูลที่ไม่มากพอ แต่ผมคิดว่าเราควรช่วยกันหาคำตอบ แทนที่จะชี้นิ้วบริภาษผู้นิยมคุณทักษิณว่าโง่, โลภ และไร้การศึกษา ผมคิดว่าปรากฏการณ์ "ทักษิณฟีเวอร์" นี้ บางส่วนก็เป็นทางนำไปสู่ความก้าวหน้าทางการเมือง บางส่วนก็นำไปสู่ความเสื่อมทรุดทางการเมือง ฉะนั้นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ให้ถึงแก่น จะมีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางการเมืองไทยแน่นอน

ผมจึงอยากเรียกร้องให้นักวิชาการศึกษาวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง และอยากเรียกร้องให้สำนักงานที่มีเงินสนับสนุนการวิจัยทั้งหลาย ให้ความสนใจแก่เรื่องประเภทนี้ให้มากขึ้น (อย่ามองชนบทแยกออกไปต่างหากจากเมืองและประเทศโดยรวม)

แต่ก่อนที่จะมีคำตอบดีๆ จากนักวิชาการที่ทรงคุณความรู้ ผมขอให้คำตอบตื้นๆ ไปก่อนดังนี้

1/ ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งดีๆ ที่ชาวบ้านจำนวนมากเคยได้รับจากรัฐบาลกลาง ไม่ว่าจะเป็นหลักประกันสุขภาพ ซึ่งแม้ไม่สู้จะมีประสิทธิภาพสูงนัก แต่เขาก็ได้ใช้ประโยชน์ไปตามอัตภาพ ซ้ำเป็นหลักประกันสุขภาพที่มั่นคงพอสมควรด้วย ความลังเลใจและนโยบายที่ไม่ชัดเจนของรัฐบาลซึ่งมาจากการรัฐประหารต่อเรื่องนี้ ยิ่งตอกย้ำ สัญลักษณ์ทักษิณว่าเป็นหลักประกันที่มั่นคงกว่าในเรื่องสุขภาพ

กองทุนประเภทต่างๆ ซึ่งแม้ไม่ทำให้ส่วนใหญ่ของชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ก็ช่วยให้ยืดวงจรของหนี้สินออกไปได้คล่องตัวขึ้น ดีกว่าไม่มีเสียเลย

และนโยบายอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลของคุณทักษิณได้หยิบยื่นทรัพยากรกลางลงไปถึงระดับล่าง อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ชื่อทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นบุคคลาธิษฐานของความใส่ใจต่อประชาชนระดับรากหญ้า ไม่ว่าความเป็นจริงจะเป็นดังนั้นหรือไม่ก็ตาม

2/ คุณทักษิณและพรรค ทรท.เข้าถึงเครือข่ายในชีวิตของชาวบ้าน ได้กว้างขวางกว่าที่นักการเมืองส่วนกลางเคยเข้าถึงมาแล้ว และไม่ใช่เฉพาะเครือข่ายผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว หากรวมถึงเครือข่ายทางสังคมและวัฒนธรรมด้วย เพราะที่จริงแล้วเครือข่ายเหล่านี้แยกออกจากกันได้ยาก (จนเอ็นจีโอในสมัยคุณทักษิณจ๋องไปแยะ จึงกลายเป็นปฏิปักษ์ของพรรคการเมืองที่ตัวเคยสนับสนุนมาก่อน) เครือข่ายเหล่านี้มักผ่านนักการเมืองท้องถิ่นทุกระดับ กลายเป็นฐานเสียงที่แน่นหนาของคุณทักษิณ แม้ไม่มีตัวคุณทักษิณอยู่ในการเมืองไทยอีกแล้วก็ตาม

3/ คุณทักษิณเป็นหัวหน้าพรรคคนแรกที่มีอำนาจต่อรองเหนือนักการเมืองของพรรคอย่างค่อนข้างเด็ดขาด ทั้งเพราะอำนาจเงินและอำนาจความนิยมที่ได้รับจากประชาชน ฉะนั้นคุณทักษิณจึงคุมข้าราชการอยู่ เพราะข้าราชการไม่สามารถฝากตัวกับนักการเมืองอื่นใดไปต่อรองกับนายกฯ ได้ (ข้าราชการในสังกัดของ "วัง" ต่างๆ อาจถูกย้ายได้ หากเจ้าของ "วัง" ไม่เป็นที่ไว้วางใจของคุณทักษิณ)

ฉะนั้นจึงเป็นครั้งแรก (หลังจากที่กองทัพหมดบทบาทปราบคอมมิวนิสต์ลง) ที่ชาวบ้านจำนวนไม่น้อย รู้สึกว่ามีอำนาจต่อรองกับข้าราชการได้มากขึ้น เพราะอย่างน้อยเจ้าพ่อที่หนุนหลังข้าราชการในท้องถิ่นต่างๆ ยังเป็นรองคุณทักษิณทั้งนั้น ชาวบ้านจึงมีอำนาจต่อรองกับข้าราชการได้มากขึ้น เลือดเข้าตาก็ยังจัดกระเช้าดอกไม้เข้าไปให้กำลังใจนายกฯถึงกรุงเทพฯ เพื่อร้องเรียนได้

อำนาจต่อรองนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนในชนบทนะครับ ในขณะที่คนชั้นกลางในเมืองอาจไม่รู้สึกอะไร เพราะถือว่าตัวสามารถต่อรองผ่านสื่อได้โดยสะดวกอยู่แล้ว

4/ คุณทักษิณเป็นผู้มีบุคลิกถูกใจชาวบ้านกว่านักการเมืองใดๆ ที่เราเคยมีมา "ทัวร์นกขมิ้น" ที่นายกฯนุ่งผ้าขาวม้าลงไปห้องน้ำนั้น สื่อลงภาพทุกฉบับ และเป็นภาพที่น่าประทับใจแก่ชาวบ้านว่าท่านนายกฯใช้ชีวิตปกติเหมือนตนเอง แต่ภาพถ่ายนี้จะไม่ให้ใครถ่ายได้เลยก็ได้ เพราะมีทหารตำรวจล้อมรอบอยู่แล้ว แค่กันให้ถอยออกไปเสียก่อนก็ได้ ฉะนั้นจึงเป็นภาพที่คุณทักษิณตั้งใจจะให้ถ่ายรูป และเผยแพร่

ยังไม่พูดถึงคำพูดคำจา และวัตรปฏิบัติอีกหลายอย่างที่น่าประทับใจแก่ชาวบ้าน เช่นช็อปปิ้ง, กินก๋วยเตี๋ยว, รักลูกเมีย ซื้อของแล้วไม่ต้องทอน ฯลฯ

ทั้งหมดนี้จะพูดว่าคุณทักษิณเก่งด้านการตลาดก็ได้ แต่เป็นตลาดการเมืองนะครับ ไม่ใช่ตลาดโทรศัพท์มือถือ นายกฯที่เราเคยมีมาหลายคนก็เก่งด้านการตลาดการเมืองเหมือนกัน (เช่น คุณชาติชาย ชุณหะวัณ) แต่ผมคิดว่าเก่งไม่เท่าคุณทักษิณ ทั้งเป็นความเก่งที่เหมาะกับตลาดล่างมากกว่าตลาดบนเสียด้วย

คงอีกนานกว่าเราจะมีนักการเมืองที่เก่งการตลาดระดับตลาดล่างอย่างนี้อีก

5/ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมในสมัยคุณทักษิณดีขึ้น จะดีขึ้นเพราะฝีมือหรือเพราะเฮงก็ตามเถิดครับ ในทุกวันนี้ ผมยังเห็นแผงและรถขายของในตลาดติดสติ๊กเกอร์ "คิดถึงทักษิณ" อยู่ แม้ว่าสีจะซีดลงไปมากแล้ว ผมเคยคุยกับแม่ค้าขายกล้วยแขกที่ตลาดใกล้บ้าน เธอบอกว่าเธอติดสติ๊กเกอร์นี้เพราะรู้สึกอย่างนี้จริงๆ เนื่องจากเธอขายกล้วยแขกได้ดีในสมัยคุณทักษิณ อยากให้สภาพอย่างนั้นกลับมาอีก

หลังสมัยคุณทักษิณ เศรษฐกิจก็ไม่ได้เลวลงทันที แต่คนรู้สึกว่าไม่ดีเท่าสมัยคุณทักษิณ อาจเป็นเพราะนักการเมืองไม่เก่งด้านการตลาดเท่าก็ได้ เศรษฐกิจสมัยคุณทักษิณจะดีสักแค่ไหนก็ตาม แต่รัฐบาลคุณทักษิณรู้จักทำให้คนรู้สึกว่าดีจังเลย ซึ่งทำให้คนกล้าจับจ่ายใช้สอย

ในขณะเดียวกัน สภาพทางสังคมก็ถูกทำให้คนรู้สึกว่า "ดีจังเลย" เหมือนกัน ไม่ว่าการทำสงครามกับยาเสพติด, การลดอิทธิพลของเจ้าพ่อ, ฯลฯ สภาพเหล่านี้คงถูกขยายด้วยเทคนิคการตลาดเหมือนกัน แต่ก็ได้ผล ทางการเมืองก็ไม่มีอะไรอึมครึมให้ต้องวิตกห่วงใย

คุณทักษิณมาเสียท่าตอนความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ เพราะไม่มีเทคนิคการตลาดอะไรจะช่วยได้ เมื่อโรงเรียนถูกเผาและระเบิดถูกจุดทุกวันอย่างนั้น แม้กระนั้น คุณทักษิณก็สามารถยืนหยัดอยู่บนความล้มเหลวในภาคใต้มาได้ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นอยู่นั่นเอง เพราะวิธีบรรเทาผลกระทบทางการเมืองนานาชนิดที่คุณทักษิณใช้ นับตั้งแต่พับนกไปโปรย, ตั้งกรรมการสมานฉันท์, ส่งรองนายกฯ ไปศึกษาเพื่อทำข้อเสนอแนะ, ฯลฯ กลายเป็นเรื่องเฉพาะพื้นที่มากกว่าเป็นปัญหาของสังคมไทยทั้งหมด

เพราะไม่ได้ลงไปศึกษาจริง ผมก็ได้แต่คำตอบที่ใครๆ ก็คงคาดเดาได้อยู่แล้ว แต่ปัญหานี้สำคัญ และอย่างที่กล่าวข้างต้น คือต้องการความรู้ที่ได้จากการศึกษาจริง เพราะมีประโยชน์แก่สังคมอย่างแน่นอน

หน้า 6

 

ที่มา  :  มติชนรายวัน,วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11188